นักวิจัยแผ่นดินไหว สกว. ระบุเหตุธรณีพิโรธที่ไต้หวันไม่สะเทือนถึงไทย แต่เป็นบทเรียนให้ไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือและไม่ประมาท ขณะที่วิศวกรตั้งข้อสันนิษฐานอาคารที่พังถล่มไม่ได้ออกแบบก่อสร้างตามมาตรฐานหรือขาดการเสริมแรงให้ต้านทานแผ่นดินไหว จึงทำให้เกิดเหตุสลดในครั้งนี้
ผศ.ดร.ภาสกร ปนานนท์ นักวิจัยชุดโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 6.4 ในพื้นที่ภาคใต้ของเกาะไต้หวัน สร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้างในหลายเมืองโดยรอบ โดยเฉพาะในเมืองไถ่หนาน ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร จากศูนย์กลางแผ่นดินไหว และมีประชากรอาศัยอยู่เกือบ 1 ล้านคน เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้พื้นดินมีการสั่นสะเทือนค่อนข้างรุนแรง โดยมีความรุนแรงของแผ่นดินไหวระดับ 7 ทำให้มีอาคารพังถล่มลงมาหลายหลัง มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และคาดว่าจะมีแผ่นดินไหวตามมา (After Shock) อีกมากพอสมควร จึงต้องคอยติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดว่าจะมีความเสียหายเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่
ล่าสุดสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาประเทศสหรัฐอเมริกา (US Geological Surveys: USGS) ได้รายงานว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดที่ระดับความลึกประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งจัดว่าเป็นแผ่นดินไหวที่เกิดค่อนข้างตื้น และเกิดจากการเลื่อนตัวของรอยเลื่อนแบบรอยเลื่อนย้อนผสมกับการเลื่อนด้านข้างร่วมด้วย ทั้งนี้ เกาะไต้หวันเป็นบริเวณที่มีความซับซ้อนทางธรณีวิทยาอย่างมาก เพราะอยู่บนแนวรอยต่อของแผ่นธรณีหรือแผ่นเปลือกโลกถึง 3 แผ่น ได้แก่ แผ่นแปซิฟิก แผ่นยูเรเชีย และแผ่นทะเลฟิลิปปินส์ ซึ่งมีการชนมุดตัวกันไปมา ทำให้มีพลังงานสะสมมหาศาล
ในอดีตเคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดปานกลางถึงใหญ่หลายครั้ง เช่น แผ่นดินไหวขนาด 7.6 เมื่อปี พ.ศ.2542 ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน เนื่องจากเกาะไต้หวันเป็นพื้นที่ที่ถูกบีบอัดจากการมุดตัวของแผ่นธรณี ทำให้มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงชัน และมีรอยเลื่อนขนาดใหญ่ที่มีโอกาสทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้หลายแนว ซึ่งแผ่นดินไหวที่เกิดในบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นการเลื่อนตัวของรอยเลื่อนแบบรอยเลื่อนย้อน ผสมกับการเลื่อนตัวด้านข้างเป็นครั้งคราว
“ประเทศไทยเองมีผลกระทบทางอ้อมที่ตามมา คือ ความวิตกกังวลของแผ่นดินไหวครั้งนี้จะส่งผลต่อรอยเลื่อนต่างๆ ในประเทศไทยอย่างไรบ้าง เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่ไกลจากประเทศไทยนับพันกิโลเมตร พลังงานที่ส่งต่อมาถึงรอยเลื่อนบ้านเราจึงมีน้อยมาก และไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของเราคือ มีการศึกษาด้านแผ่นดินไหวในประเทศไทยค่อนข้างน้อยมาก ทำให้ไม่มีโอกาสทราบว่ารอยเลื่อนในบ้านเราได้รับพลังงานสะสมไว้มากน้อยแค่ไหน มีความเสี่ยงเพียงใด รอยเลื่อนไหนเสี่ยงที่สุดที่จะมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวได้ก่อน และไม่สามารถทำนายการเกิดแผ่นดินไหวได้ล่วงหน้า ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท และจำเป็นต้องสร้างองค์ความรู้ด้านแผ่นดินไหวของไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะช่วยในการวางแผนรับมือแผ่นดินไหวและทำให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด"ผศ.ดร.ภาสกรกล่าว
ด้าน ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นักวิจัยชุดโครงการลดภัยพิบัติแผ่นดินไหวฯ สกว. และเลขาธิการสภาวิศวกร กล่าวเสริมว่า ไต้หวันอยู่ในแนววงแหวนไฟที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาดถึง 8 ริกเตอร์ อย่างไรก็ตามการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ในครั้งนี้อยู่ในระดับตื้น ทำให้อาคารและอพาร์ทเมนท์ความสูง 5-20 ชั้นเสียหายได้มาก ทั้งนี้เมื่อดูจากภาพความเสียหายสามารถสันนิษฐานได้ 2 ประเด็น ประเด็นแรกเป็นอาคารเก่าที่ก่อสร้างนานมากแล้ว ก่อนที่จะมีการออกกฎหมายควบคุมอาคารต้านทานแผ่นดินไหว ทำให้อาคารเหล่านี้ไม่ได้มาตรฐานและไม่ได้คำนึงถึงการเสริมแรง จึงทำให้เกิดเหตุสลดในครั้งนี้ และอีกประเด็นคือหากเป็นอาคารสร้างใหม่แต่ไม่ได้รับการออกแบบให้ต้านทานแผ่นดินไหวตามมาตรฐาน ก็อาจทำให้พังถล่มได้เช่นกัน ทั้งที่ตามมาตรฐานแล้วจะต้านทานแผ่นดินไหวได้ถึง 7 ริกเตอร์
“อาคารที่พังถล่มหลายหลังมีความสูงตั้งแต่ 5-10 กว่าชั้น อาจอยู่ในช่วงที่เกิดการสั่นพ้องหรือเรโซแนนซ์กับพื้นดิน ทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น จากภาพความเสียหายตามข่าวที่ปรากฏพบว่าเสาของอาคารหลายถูกทำลายสิ้นเชิง ทำให้อาคารล้มเอียงไปในทิศทางที่เสาถูกทำลาย” ศ.ดร.อมร
ส่วนเหตุไฟไหม้อาคาร 10 ชั้นในซอยนราธิวาส 18 ที่เกิดในเมืองไทยนั้น ศ. ดร.อมรกล่าวว่า เขาพร้อมด้วยสมาคมผู้ตรวจสอบและบริหารความปลอดภัยอาคาร (ตปอ.) และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) ได้รับการประสานจากกรุงเทพมหานคร ให้เดินทางเข้าพื้นที่เพื่อไปตรวจสอบความเสียหายในวันที่ 7 ก.พ.59 เวลา 13.00 น.