สมุนไพรไทยมีสรรพคุณมากมาย แต่การต่อยอดใช้ประโยชน์ยังเป็นไปอย่างจำกัด หนึ่งในอุปสรรคคือการพัฒนาเทคโนโลยีสกัดสารสำคัญ เพื่อให้ได้ปริมาณสารที่ออกฤทธิ์ตามสรรพคุณที่กล่าวอ้าง และเข้าสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สร้างความยั่งยืนแก่ตลาดสมุนไพรได้มากกว่าแค่กระแสชั่วคราว
ภคพงศ์ พรมนุชาธิป ผู้จัดการโครงการธุรกิจชีวภาพ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เป็นคนหนึ่งที่มองว่า สมุนไพรไทยยังมีตลาดที่เปิดกว้าง แต่อุปสรรคใหญ่ที่ยังทำให้สมุนไพรไปไม่ถึงไหนคือ เรายังขาดเทคโนโลยีการสกัดสารสำคัญและทำให้บริสุทธิ์เพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้ และมีเพียงเทคโนโลยีเล็กๆ ระดับงานวิจัย แต่การต่อยอดเชิงอุตสาหกรรมต้องใช้ทั้งเวลาและเงินทุนมหาศาลในการพัฒนา การสกัดสารสำคัญของไทยยังเป็นการสกัดด้วยน้ำซึ่งเป็นขั้นตอนธรรมดา
ผู้จัดการโครงการธุรกิจชีวภาพ สนช.เผยว่าสมุนไพรไทยมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นสารสกัดสารสำคัญที่แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอาหารสุขภาพ แต่ปัญหาคือ เรายังต้องควบคุมคุณภาพ ความปลอดภัย และสร้างการเติบโตของตลาดสมุนไพรอย่างต่อเนื่อง โดยการทำให้เห็นว่าสมุนไพรนั้นให้ผลจริง การจับมือกับญี่ปุ่นจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เขาเชื่อว่าจะทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการสกัดสารสำคัญและทำให้บริสุทธิ์มายังประเทศไทย
สำหรับญี่ปุ่น บริษัท มารูเซน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด ถือเป็นยักษ์ที่มุ่งผลิตและจำหน่ายสารสกัดจากสมุนไพรชนิดต่างๆ แล้วส่งจำหน่ายไปทั่วโลก โดยมีลูกค้าที่นำสารสกัดเหล่านั้นไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ภายใต้แบรนด์ของลูกค้าเอง ล่าสุด สนช. ได้ผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างมารูเซนกับบริษัทของไทยคือ บริษัท ทิปโก้ ไบโอเท็ค จำกัด เพื่อนำสารออกฤทธิ์ททางชีวภาพจากสับปะรดไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ
คัทซึเอะ อิโมโตะ (Katsue Imoto) ประธานกรรมการ มารูเซน ฟาร์มาซูติคอล เผยว่าจากการศึกษาของมารูเซนพบว่า ในเส้นใยของเนื้อสับปะรดติดเปลือกที่เหลือจากโรงงานของ บริษัท ทิปโก้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นั้น มีสารสำคัญชื่อ “เซราไมด์” ในปริมาณที่มากกว่าสับปะรดจากฟิลิปปินส์ 3-5 เท่า ซึ่งจากการวิจัยพบว่าเซราไมด์มีคุณสมบัติเหมือนสารปกป้องผิวตามธรรมชาติ ช่วยใหความชุ่มชื้นแก่ผิวและทำให้ผิวกระจ่างใส
เราสกัดเซราไมด์ได้จากวัตถุดิบหลายชนิด อาทิ ข้าว นม และหัวบุก ซึ่งอิโมโตะเผยระหว่างเปิดให้เยี่ยมชมโรงงานที่ญี่ปุ่นว่า ก่อนหน้านี้มีบริษัทเครื่องสำอางชื่อดังของญี่ปุ่นโปรโมตคุณสมบัติเซราไมด์ที่สกัดจากหัวบุกว่าช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว แต่จากการศึกษาของมารูเซนพบว่า เซราไมด์จากสับปะรดนอกจากให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวแล้วยังให้ความกระจ่างใสด้วย โดยได้ทดลองให้อาสาสมัครกินสารสกัดในรูปเม็ดวันละ 1 เม็ดติดต่อกัน 3 สัปดาห์ และพบว่าทำให้ผิวกระจ่างใสอย่างชัดเจน ซึ่งคาดว่าปีหน้าจะมีผลิตภัณฑ์เซราไมด์ในรูปแบบเม็ดออกมาจำหน่าย
อนันต์ ชัยกิจวัฒนะ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจไบโอเทค จากทิปโก้ ไบโอเทค เผยว่าโดยปกติเปลือกสับปะรดที่เหลือจากโรงงานแปรรูปสับปะรดของบริษัทในเครือจะถูกนำไปจำหน่ายเป็นอาหารสัตว์ และไม่ทราบมาก่อนว่าในเปลือกสับปะรดมีสารสำคัญอย่างเซราไมด์อยู่ กระทั่งมารูเซนนำไปศึกษา และตอนนี้มีความร่วมมือกันโดยทิปโก้ไบโอเทคสกัดเซราไมด์แบบหยาบเพื่อส่งให้มารูเซนในญี่ปุ่นสกัดเข้มข้น และทำให้บริสุทธิ์เพื่อจัดจำหน่ายต่อไป แต่อนาคตหวังว่าจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตเซราไมด์บริสุทธิ์และจำหน่ายให้แก่มารูเซนโดยตรง
ทางด้าน นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการ สนช. กล่าวว่า ตลาดสมุนไพรและอาหารเสริมในเมืองไทยมักไปไม่รอด ซึ่งหัวใจสำคัญเป็นเรื่องของเคมี ซึ่งไทยยังขาดเทคโนโลยีสกัดสารสำคัญ จึงเป็นโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้เกิดการนำเข้าเทคโนโลยีมายังเมืองไทย และความร่วมมือครั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดได้เนื่องจากไทยชูมาตรการพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol ) ซึ่งเป็นมาตรการที่บังคับว่าหากมีการนำทรัพยากรธรรมชาติจากประเทศใดไป ต้องแจ้งให้ทราบว่านำไปใช้ทำอะไร และจะคืนประโยชน์กลับคืนสู่ประเทศเจ้าของทรัพยากรอย่างไรด้วย
นอกจากการส่งสกัดเซราไมด์แบบหยาบแล้วทิปโก้ไบโอเทคยังรับหน้าที่รวบรวกระชายดำอบแห้งที่ปลูกในไทยส่งจำหน่ายแก่มารูเซนด้วย โดยอิโมโตะเผยว่าทางมารูเซนพบสารสำคัญจากกระชายดำมีฤทธิ์ช่วยในการสลายไขมัน และได้โปรโมตสรรพคุณนี้ให้แก่บริษัทอาหารเสริมในญี่ปุ่นเพื่อผลิตจำหน่ายในตลาดแล้ว แต่พบปัญหาวัตถุดิบไม่เพียงพอ เนื่องจากมีการกว้านซื้อกระชายดำจากอินเดียและเกาหลีใต้ ตอนนี้จึงต้องสร้างความมั่นคงเรื่องวัตถุดิบเพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอเสียก่อน