xs
xsm
sm
md
lg

น่ากลัว...หากไทยต้องนำเข้าพลังงานสูงเหมือนญี่ปุ่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พพ.- ชี้ภายในอีก 20 ปีข้างหน้าเราจะต้องนำเข้าพลังงานที่สูงเหมือนเช่นญี่ปุ่น ทำให้ประเทศจะไปไม่รอด เพราะเศรษฐกิจเราไม่แข็งแรงเหมือนญี่ปุ่น ดังนั้นจึงต้องใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านหอการค้าไทยหนุนนำพืชเศรษฐกิจหลัก ข้าว ยางพารา อ้อย  มันสำปะหลัง ข้าวโพด ปาล์มน้ำมัน มาผลิตเป็นพืชอาหารและพลังงานทางเลือก

ภายในงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “Energy : Main Road to Low Carbon Society” ที่จัดโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เมื่อวันที่ 17 ก.ย.56 ณ โรงแรมสวิสโซเทล นายเลิศปาร์ค กรุงเทพฯ มีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการ เข้าร่วมงานสัมมนาประมาณ 400 คน

นายประวิทย์ ประกฤตศรี ประธานคณะอำนวยการด้านพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก คณะกรรมการพลังงาน หอการค้าไทย กล่าวในการเสวนาเรื่อง “ความท้าทายสู่การเป็นนิคมเกษตร-พลังงานทางเลือก...เป็นไปได้หรือไม่” ว่า หากประเทศไทยยังใช้พลังงานในแบบปัจจุบัน ภายในอีก 20 ปีข้างหน้า เราจะต้องนำเข้าพลังงานที่สูงเหมือนเช่นญี่ปุ่น ทำให้ประเทศจะไปไม่รอด เพราะเศรษฐกิจเราไม่แข็งแรงเหมือนญี่ปุ่น ดังนั้นจึงต้องใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย 6 ชนิดที่เป็นสินค้าส่งออกทำรายได้มากกว่า 50 %  ของ GDP  คือ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ขณะนี้ข้าวและยางพาราก็มีปัญหาราคาตกต่ำ ชาวบ้านก็ออกมาปิดถนนประท้วง  

“เราต้องนำพืชทั้ง 6 ตัวนี้มาพัฒนาให้สอดคล้อง ทั้งเรื่องอาหารและพลังงาน เช่น ข้าว ถ้าเราปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม ปลูกในเขตชลประทานจะผลิตข้าวได้ดี แต่ปัญหาตอนนี้คือผลิตในที่ที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นจะต้องจัดโซนนิงประกาศพื้นที่ที่เหมาะสมว่าจะปลูกอะไร อย่าไปปลูกเกิน ทำแผนให้ชัดเจน สร้างระบบชลประทาน แต่พืชบางชนิดก็ไม่ต้องการน้ำมาก เช่น อ้อยและมันสำปะหลัง และต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการขนส่ง รวมทั้งดูเรื่องการตลาดด้วย” นายประวิทย์กล่าว

สำหรับพืชพลังงานทดแทนนั้น อ้อยถือว่าเป็นพืชที่มีศักยภาพที่จะเติบโต และประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ในเอเชีย นอกจากจะนำมาเป็นน้ำตาลแล้วยังสามารถผลิตเป็นไฟฟ้า เป็นเอทานอลได้อีก หากเพิ่มพื้นที่ปลูกอีกประมาณ 6 ล้านไร่ ก็จะนำมาแทนน้ำมันเบนซีนได้อีกประมาณ 6,000 ล้านลิตร เช่น ประเทศบราซิลถือเป็นโมเดลแห่งความสำเร็จที่ได้ทั้งน้ำตาลและพืชพลังงาน โดยใช้พลังงานทดแทนจากอ้อยถึง 46% หรือโรงงานผลิตภัณฑ์แปรรูปข้าวโพดครบวงจรที่รัฐเนบราสกา สหรัฐอเมริกา ที่นำข้าวโพดมาผลิตเป็นอาหาร เมล็ดพลาสติก และยังนำมาผลิตเป็นเอทานอลได้ด้วย

ส่วนข้อเสนอของหอการค้าไทยนั้น นายประวิทย์กล่าวว่า  1.พืชทั้ง 6 ชนิดจะต้องถือเป็นวาระแห่งชาติตามการจัดการโซนนิง 2.จัดตั้งคณะกรรมการและหน่วยงานเข้ามาศึกษา ดูแลดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมจนถึงห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์ของพืชนั้นๆ 3.ผลิตอาหารและพลังงานให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน 4.ต้องมีการเชื่อมโยงการผลิตจากวัตถุดิบถึงผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มมูลค่า ทำให้ราคาพืชผลการเกษตรมีความเสถียร

ดร.วีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ขณะนี้ กนอ.ได้ปรับแนวคิดจากนิคมอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเปลี่ยนมาเป็น Eco Industrial Town หรือ “เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ” เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างมีดุลภาพและยั่งยืน เช่น การนำวัสดุหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ การใช้พลังงานทางเลือกจากขยะ และแสงอาทิตย์ โดยขณะนี้ กนอ.ได้รณรงค์เรื่องเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศไปแล้ว 15 นิคม จากนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 48 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะนิคมเกิดใหม่ก็จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ตั้งแต่การออกแบบให้เป็นนิคมสีเขียว  

ส่วนในอนาคต กนอ.มีวิสัยทัศน์ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกโดยเฉพาะ โดยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กนอ.ได้เซ็น MOU ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมทางเลือก ระยะเวลาศึกษา 1 ปี และคาดว่าภายในปี 2559 จะสามารถจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกได้ โดยมีเป้าหมายแห่งแรกอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตร  ส่วนรูปแบบของนิคมอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกนั้น จะมีลักษณะรวมกลุ่มการผลิตแบบคลัสเตอร์ เพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่น อุตสาหกรรมมันสำปะหลัง ซึ่งนอกจากจะผลิตเป็นสินค้าอาหารแล้ว ยังนำมาผลิตเป็นพลังงานด้วย ส่วนโรงงานที่จะเข้ามาตั้งในนิคมนอกจากจะได้รับสิทธิพิเศษจากบีโอไอแล้ว ยังอาจได้รับสิทธิพิเศษในฐานะอุตสาหกรรมสีเขียวด้วยอย่างไรก็ตาม นอกจากเป้าหมายที่จังหวัดพิจิตรแล้ว ขณะนี้ที่จังหวัดนครพนมและนครราชสีมาก็มีความสนใจที่จะจัดตั้งนิคมพลังงานทางเลือกด้วยเช่นกัน

นายอำนวย ทองสถิตย์ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่าทิศทางการขับเคลื่อนพลังงานของประเทศไทยมุ่งเน้นสู่สังคมคาร์บอนต่ำ การจัดตั้งนิคมเกษตรฯ ก็จะต้องเชื่อมโยงกับพืชเกษตร เช่น ปาล์ม อ้อย โดยมีเป้าหมายในปี 2564 จะต้องใช้เอทานอลปริมาณ 9 ล้านลิตรต่อวัน ส่วนปาล์มน้ำมันจะมีปัญหาเรื่องราคาสต๊อกและราคาผลผลิตไม่คงที่ หากราคาปาล์มสูงก็จะทำให้กระทบต่อราคาน้ำมันไปด้วย 

อย่างไรก็ตามในปี 2557 จะสามารถดึงปาล์มมาผลิตน้ำมัน B7ได้อีก 240,000 ตัน และปี 2560 จะสามารถผลิตน้ำมันจากปาล์มได้ประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน และจะสามารถดึงปาล์มมาใช้ได้ประมาณ 350,000 ตัน   ทำให้สัดส่วนการใช้พลังงานจากน้ำมันปาล์มมากกว่าการใช้เพื่อบริโภค ซึ่งก็จะต้องดูด้วยว่าจะมีน้ำมันปาล์มเหลือบริโภคหรือไม่ แต่ที่สำคัญก็คือจะทำอย่างไรให้ราคาน้ำมันปาล์มราคาถูกลง

ส่วนการนำมาผลิตเอทานอล ปัจจุบันผลิตได้ประมาณ 2.7 ล้านลิตร โดย 2 ล้านลิตรมาจากกากน้ำตาล และอีก 7 แสนลิตรผลิตจากมันสำปะหลัง ซึ่งเราพยายามควบคุมสัดส่วนให้สมดุลกัน ซึ่งหากดูแลเรื่องมันสำปะหลังได้ก็จะทำให้การผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนพืชพลังงานอีกชนิดหนึ่งคือหญ้าเนเปียร์ ซึ่งทาง พพ.มีเป้าหมายจะนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าให้ได้ประมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ตอนนี้เริ่มนำร่องผลิต 15 เมกะวัตต์ และยังสามารถนำหญ้าเนเปียร์มาผลิตแทนก๊าซเอ็นจีวีได้ โดยในขณะนี้ทาง พพ.เปิดรับผู้สนใจเข้าร่วมลงทุนผลิตกระแสไฟฟ้าจากหญ้าเนเปียร์ และเกษตรกรสามารถปลูกหญ้าเนเปียร์แทนพืชเกษตรที่มีรายได้ต่ำโดยจะต้องมีการจัดโซนนิ่งเพื่อปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม 
ดร.ขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า นิคมอุตสาหกรรมเกษตรเชิงนิเวศเพื่ออาหารและพลังงาน ถือเป็นการมองมุมใหม่ เพราะเป็นการจัดเขตพื้นที่เกษตรและอุตสาหกรรมที่เหมาะสมโดยการนำหลักการนิคมเชิงนิเวศมาใช้ เพื่อผลิตสินค้าทางเกษตรสำหรับอาหารและพลังงานที่มีความยืดหยุ่นตามความต้องการของผู้บริโภค กลไกตลาด และปัญหาด้านวิกฤตพลังงานและอาหาร โดยต้องมีการกำหนดเขตพื้นที่ว่าพื้นที่ใดควรปลูกอะไร ขนาดพื้นที่ที่เหมาะสม ผลผลิตต่อไร่ มีตลาดรองรับการผลิต   โดยมีหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุน ทั้งด้านปัจจัยการผลิต  โครงสร้างพื้นฐาน งานวิจัย ฯลฯ

“เราควรเปลี่ยนเนวคิดอุตสาหกรรมใหม่ โดยเอาวัตถุดิบในท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นอุตฯ ส่งออกได้ จะสามารถสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ได้ โดยนิคมฯ ควรกระจายไปแต่ละภาค รวมทั้งหมดให้เป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งอาหาร  พลังงาน มีการวิจัยเพื่อต่อยอด เช่น เรื่องเครื่องสำอาง ยาสมุนไพร โดยมีเครือข่ายภาคเอกชนมาร่วมด้วย มาลงขันทำงานวิจัย และหนุนให้มหาวิทยาลัยท้องถิ่นศึกษาเพื่อป้อนความรู้ให้กับนิคม” ดร.ขวัญฤดีกล่าว

ทางด้าน ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนฯ กล่าวถึงการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำว่า สามารถทำได้โดยขับเคลื่อนด้วย 3 เสาหลัก คือ 1.จัดการเมือง ซึ่งต้องมีการจัดการพื้นที่ จัดการระบบลอจิสติกส์ ที่อยู่อาศัย หรือนิคมอุตสาหกรรม 2.ประหยัดพลังงาน โดยส่งเสริมให้คนในเมืองหรือนิคมฯ ประหยัดพลังงานเป็นที่ตั้ง และ 3.พลังงานทางเลือกหรือพลังงานทดแทน ที่ต้องเสาะแสวงหาด้วยการวิจัยเทคโนโลยี สนับสนุนผู้ประกอบการให้คิดค้น เพื่อป้อนให้กับเมืองหรือนิคมฯ เพื่อขับเคลื่อน 3 เสาหลักไปพร้อมๆ กัน

“เกาะสมุยเป็นกรณีตัวอย่างในการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เช่น ลงสนามบินมีรถยนต์ไฟฟ้าให้เช่า   ชาร์ตแบตจากพลังงานแสงอาทิตย์ จัดรถบัสไปแหล่งท่องเที่ยวสำคัญฟรี เป็นสัญลักษณ์สังคมคาร์บอนต่ำ  เอกชนก็ทำภาครัฐก็ทำให้เกิดการบูรณาการ ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ หรือกรณีนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ก็ริเริ่มกันแล้ว และในอนาคตอาจจะมีสมาร์ทซิตี้ สังคมไทยก็จะอยู่แถวหน้าที่คิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถ้าไม่คิด   เมืองพัฒนาไป พื้นที่สีเขียวหายไปแล้ว เช่นเวลานี้สมุยขยายแนวราบ เพราะกฎห้ามตึกสูงเกิน 12 เมตร”  ดร.ทวารัฐ ยกตัวอย่าง

ดร.ทวารัฐ ยังกล่าวถึงประเด็นการเชื่อมโยงภาคเกษตรที่เป็นพื้นฐานของประเทศหรือเป็นกระดูกสันหลังกับภาคพลังงานด้วยว่า เป็นเรื่องที่สำคัญ โดยอาศัยแนวคิดรวมตัวกันจัดโซนนิ่งคลัสเตอร์ เชื่อมโยงทุกอย่าง  วัตถุดิบ ผลิต ลอจิสติกส์ รีไซเคิล ให้เป็นพลังงานได้ทุกรูปแบบ เช่น อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ที่มีโรงไฟฟ้าระบบความร้อนร่วม ผลิตไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อยหรือไอน้ำสำหรับใช้ในโรงงาน   หากเหลือใช้ก็ขายเข้าระบบ  ส่วนกากน้ำตาลเอาไปทำเอทานอลหมุนเวียน  เป็นอุตสาหกรรมที่เรียกได้ว่าไม่มีของเสียหรือซีโร่เวสท์ และยังต่อยอดได้อีก เช่น เอาไปทำชานอ้อย พาร์ติเคิลบอร์ด  

ส่วนปาล์มนั้น ทลายปาล์มสามารถผลิตเป็นพลังงาน ต่อยอดผลิตภัณฑ์ เพื่อนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ แต่ต้องมีการจัดการ มีการรวมกลุ่มครบวงจร เพื่อเสริมสรรพกำลังซึ่งกันและกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น โรงงานน้ำตาล 47 โรง บางแห่งเล็ก ทำครบวงจรไม่ได้ ในต่างประเทศมีบางเมืองที่เอาโรงน้ำตาลมาตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน แล้วมีโรงไฟฟ้า ผลิตจากชานอ้อยอยู่ใกล้ๆ ตอนนี้โรงไฟฟ้าจากชานอ้อยของเรายังไม่มีประสิทธิภาพ ถ้ารวมตัวกันแล้วยกระดับเทคโนโลยีในการผลิตได้จะดีขึ้น







กำลังโหลดความคิดเห็น