ปส. - ก.วิทย์เฝ้าระวังรังสีกรณีถังเก็บน้ำโรงไฟฟ้าฟุกูชิมารั่ว ย้ำไม่ส่งผลกระทบถึงไทยแน่นอนพร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับประชาชน
สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เตรียมพร้อมในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการเฝ้าระวังการแพร่กระจายของสารรังสีในสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากเหตุการณ์ถังเก็บน้ำในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกูชิมารั่ว ปส. ได้ทำการวัดรังสีในสิ่งแวดล้อมผลปรากฏว่าระดับรังสีอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยประชาชนทั่วไปสามารถอ่านค่าปริมาณรังสีจากสถานีเฝ้าระวังภัยทางรังสีที่มีสถานีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทยได้โดยผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานฯ www.oaep.go.th
นายสุพรรณ แสงทอง เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 ส.ค.56 ที่ผ่านมา โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมา ไดอิชิ ประเทศญี่ปุ่น เกิดการรั่วไหลของน้ำที่มีการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีออกจากบริเวณถังเก็บภายในโรงไฟฟ้า ซึ่งทางการญี่ปุ่นได้ประกาศมาตรระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์และรังสี (International Nuclear and Radiological Event Scale, INES) จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้มีปรับคำเตือนภัยจากระดับ 1 คือ เหตุผิดปกติ เป็นระดับ 3 คือ เหตุขัดข้องรุนแรง (Serious Incident) มีรายละเอียดสำคัญดังนี้
- ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม: มีการได้รับปริมาณรังสีมากกว่า 10 เท่า ของขีดจำกัดการได้รับปริมาณรังสีสำหรับผู้ปฏิบัติงานตามที่กฎหมายกำหนด
- ผลกระทบต่อการป้องกันและควบคุมทางรังสี: มีการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีปริมาณสูงในพื้นที่ที่ไม่ได้กำหนดให้มีการเปื้อนไว้ และมีความเป็นไปได้น้อยสำหรับการได้รับปริมาณรังสีของประชาชน
เหตุขัดข้องในครั้งนี้จะถูกจำกัดอยู่ภายในเขตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่นอกเขตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ สำหรับประชาชนที่จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นจะไม่มีความเสี่ยงจากการประกาศของทางการญี่ปุ่นเกี่ยวกับระดับตามมาตรระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์แต่อย่างใด ทั้งนี้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ซึ่งเป็นหน่วยงานประสานงานของประเทศไทยกรณีฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี ยังไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) และ Japan Nuclear Regulation Authority อย่างเป็นทางการ แต่อย่างใด
จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ปส. ได้ดำเนินการวัดค่าปริมาณรังสีจากสถานีเฝ้าระวังภัยทางรังสี ซึ่งติดตั้งกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย โดยผลปรากฏว่า ค่าปริมาณรังสีอยู่ในระดับปกติ และเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชนไทยทั่วประเทศ ปส.ยังได้บูรณาการความร่วมมือกับกรมประมงและกรมควบคุมมลพิษ ดำเนินการสำรวจและเก็บตัวอย่างจากสิ่งแวดล้อมทางทะเล(ไทย) อาทิ น้ำทะเล และอาหารทะเล มาตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง พบว่า ค่าปริมาณรังสีอยู่ในระดับปกติ เช่นเดียวกัน
นายสุพรรณฯ ได้กล่าวต่อไปว่า ปส. มีมาตรการและดำเนินการเฝ้าระวังภัยจากรังสีเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชนไทยมาเป็นระยะเวลาหลายปี รวมทั้งได้มีการพัฒนาระบบการเฝ้าระวังภัยฯ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน ปส. มีเครือข่ายสถานีเฝ้าระวังภัยทางรังสีในอากาศ จำนวน 12 สถานี ซึ่งติดตั้งครอบคลุมในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น อุบลราชธานี ปทุมธานี สงขลา กรุงเทพฯ ระนอง ตราด พะเยา ระยอง สกลนคร และกาญจนบุรี นอกจากนี้ ยังมีสถานีเฝ้าระวังภัยทางรังสีในน้ำ จำนวน 2 สถานี ได้แก่ ระยอง และภูเก็ต ซึ่งจะสนับสนุนให้การเฝ้าระวังภัยทางรังสีของประเทศไทยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยในปี 2556 นี้ ปส. มีแผนขยายการติดตั้งสถานีเฝ้าระวังภัยฯ ทางอากาศเพิ่ม ใน 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย หนองคาย ภูเก็ต
สถานีเฝ้าระวังภัยทางรังสีทั้งหมดนี้ จะทำหน้าที่ในการเฝ้าตรวจระดับรังสีแกมมาตลอด 24 ชั่วโมง และส่งข้อมูลที่เป็นปัจจุบันไปยังศูนย์เฝ้าระวังภัยทางรังสี ณ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ในทันที ซึ่งหากค่าระดับรังสีแกมมาที่ดำเนินการตรวจวัดมีค่าสูงผิดปกติ ก็จะมีการส่งสัญญาณเตือนมายังศูนย์เฝ้าระวังภัยทางรังสีแห่งชาติ โดยเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบและประกาศมาตรการรองรับเพื่อให้ประชาชนและสิ่งแวดล้อมปลอดภัยจากอันตรายของรังสีต่อไป
นอกจากนี้เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลของสถานีเฝ้าระวังภัยทางรังสีนี้ได้ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ได้จัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวผ่านจอมอนิเตอร์ประชาสัมพันธ์ บริเวณหน้าสำนักงานฯ และบนเว็บไซต์ของสำนักงานฯ ที่ www.oaep.go.th ด้วย
ทั้งนี้ ในอนาคตข้างหน้า ปส. จะเร่งผลักดันให้มีการติดตั้งเครือข่ายสถานีเฝ้าระวังภัยทางรังสีทั้งในอากาศ และในน้ำให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น ขอให้ประชาชนในทุกภาคของประเทศไทย มั่นใจได้ว่า จะสามารถดำรงชีวิตได้อย่างปลอดภัย โดยมีสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คอยเฝ้าระวังความปลอดภัยจากรังสีให้ท่านอยู่ตลอดเวลา นายสุพรรณ กล่าวในที่สุด