คอลัมน์ : ฝ่าเกลียวคลื่น
โดย...บรรจง นะแส
“จังหวัดสงขลาไม่ได้ทราบข้อมูลกรณีบริษัทเอกชนจัดเก็บวัสดุกัมมันตรังสีในพื้นที่จังหวัดสงขลามาก่อน จังหวัดได้รับทราบข้อมูลจากการร้องเรียนของประชาชน พร้อมกับที่เป็นข่าวทางสื่อมวลชน และจากการประสานงานเจ้าหน้าที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ทราบว่า พระราชบัญญัติพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ.2504 ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องรายงานให้จังหวัดทราบ”
เป็นส่วนหนึ่งในคำชี้แจงต่อประธานอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนของ นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ตามหนังสือศาลากลางจังหวัดสงขลาที่ สข.0013.2/509 ลงวันที่ 18 มกราคม 2556 กรณีภาคประชาชนได้ทำเรื่องร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ทำการตรวจสอบว่า บริษัท ชลัมเบอร์เจอร์ โอเวอร์ซีร์ เอส.เอ. จำกัด ซึ่งได้เก็บวัสดุกัมมันตรังสีไว้ที่บ้านเลขที่ 30 ถนนไทรงาม ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา มากว่า 30 ปีว่า การเก็บวัสดุกัมมันตรังสีชนิดใด และปริมาณเท่าใด จะส่งผลต่อความปลอดภัยต่อประชาชนมากน้อยแค่ไหน ฯลฯ เพราะสถานที่บริเวณดังกล่าวถือว่าตั้งอยู่ใจกลางเมืองสงขลา มีชุมชนหนาแน่นอยู่โดยรอบ อยู่ใกล้โรงเรียนอนุบาล ใกล้โรงเรียนมัธยม และที่สำคัญ อยู่ห่างศาลากลางไม่เกิน 500 เมตร
คำตอบของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ว่า ไม่ทราบ และที่ไม่ทราบก็เพราะไม่ได้มีกฎหมายให้หน่วยงานที่เก็บวัสดุกัมมันตรังสีแจ้งให้จังหวัดทราบ คำตอบเช่นนี้จะไม่ให้เรียกว่า “นรก” ก็ไม่รู้จะให้เรียกว่าอย่างไร
สิ่งที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นก็คือว่า หลังจากที่ทางคณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ทำการตรวจสอบกรณีดังกล่าว โดยให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัสดุกัมมันตรังสี โดยเฉพาะสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ให้ชี้แจงต่อเรื่องราวดังกล่าว ก็ทำให้ทราบว่า ปัจจุบัน สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติได้มีการออกใบอนุญาตให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน เก็บวัสดุกัมมันตรังสี หรือที่ใช้ในภาษาตามแบบอนุญาตแบบ พ.ป.ส.4 ก-2 คือ “ผลิตมีไว้ในครอบครอง หรือใช้ซึ่งวัสดุพลอยได้”
มีจำนวนมากถึง 888 แห่งทั่วประเทศ และมีอยู่ในจังหวัดสงขลาถึง 29 แห่ง
การเปิดเผยเรื่องนี้ออกสู่สาธารณะเปรียบเสมือน “นรกแตก” เพราะทำให้ผีเปรตในนรกทั้งหลายปรากฏกายต่อสาธารณะ สร้างความหวาดกลัวแตกตื่นตกใจต่อประชาชนที่รับรู้ข้อมูลดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง เพราะฤทธิ์เดชของกากสารวัสดุกัมมันตรังสีที่หลุดรอดตกไปถึงพ่อค้ารับซื้อของเก่าที่จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อปี 2543 ซึ่งส่งผลให้พ่อค้าเศษเหล็ก และร้านรับซื้อของเก่าต้องสังเวยอวัยวะ และชีวิตไปกับอานุภาพที่ร้ายแรงของกากสารกัมมันตรังสี ซึ่งทราบกันภายหลังว่า นั่นแค่กากโคบอลต์ 60 ที่ใช้ในโรงพยาบาลเท่านั้น
แต่วัสดุกัมมันตรังสีที่ตรวจพบในพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยเฉพาะที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม จำนวน 10 แห่ง ส่วนมากล้วนเป็นวัสดุกัมมันตรังสีที่มีอานุภาพร้ายแรง เช่น จำพวกโคบอลต์ 60 CO-60, CS-137, TH-232, BA-133, AN-241 ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในกระบวนการขุดเจาะก๊าซ และน้ำมันในทะเล (Oil well Loggingc และ Logging Tool Calibration) เจ้าของอุตสาหกรรมที่ครอบครองวัสดุกัมมันตรังสีเหล่านี้ในจังหวัดสงขลา ก็ใช้ในกระบวนการขุดเจาะก๊าซ และน้ำมันในทะเล เช่น บริษัท ชลัมเบอร์เจอร์โอเวอร์ซีร์ เอส.เอ. จำกัด บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด บริษัท ฮัลลิเบอร์ตัน เอ็นเนอจี เซอร์วิเชส อิงค์ ฯลฯ
บริษัทเหล่านี้ก็เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า เป็นบริษัทต่างชาติด้านพลังงานที่ได้สัมปทาน หรือรับจ้างเหมาช่วงในการขุดเจาะสำรวจและผลิตก๊าซและน้ำมันในประเทศไทยมายาวนาน และมีอำนาจล้นฟ้าเหนือการเมือง ทั้งในระดับชาติ และในท้องถิ่น รวมไปถึงมีอำนาจเหนือเหล่าข้าราชการ หน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทุกภาคส่วนต้องสยบยอม และทำหน้าที่ปกป้องดูแลพวกเขามากกว่าความปลอดภัยของประชาชน
จึงไม่แปลกใจที่แม้สำนักงานของบริษัทเหล่านี้จะตั้งอยู่ใกล้รั้วของศาลากลางจังหวัด แล้วคนระดับผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่ทราบ ไม่รู้ ไม่เห็น และไม่ได้ยิน แม้จะตั้งอยู่ในสถานที่นั้นมายาวนานเป็นสิบๆ ปีก็ตาม
การที่นักการเมืองไม่ยอมแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของต่างชาติ หรือเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ สุขภาพอนามัยของประชาชน ฯลฯ หรือปล่อยให้มีกฎหมายที่เก่าคร่ำครึที่เอื้อผลประโยชน์ให้แก่ทุนข้ามชาติดูจะยังดำรงอยู่อย่างมั่นคง เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ แต่มันคือตัวชี้วัดถึงอำนาจ และอิทธิพลของทุนต่างชาติที่อยู่เหนือนักการเมือง และพรรคการเมืองทุกพรรคของประเทศนี้ กรณีการใช้พระราชบัญญัติพลังงานปรมาณูเพื่อสันติที่มีมาตั้งแต่ปี 2504 โดยไม่มีการปรับปรุงให้ทันสมัยก็เป็นที่ชัดเจนอีกหนึ่งกรณี
หลังจากที่ภาคประชาชนลุกขึ้นมาตรวจสอบ ก็ทำให้บริษัท ชลัมเบอร์เจอร์โอเวอร์ซีณ์ เอส.เอ. จำกัด ได้ให้คำตอบเป็นสัญญาประชาคมว่า จะย้ายสถานที่เก็บวัสดุกัมมันตรังสีออกจากใจกลางเมืองสงขลา ไปยังเขตอุตสาหกรรมฉลุง ภายในเดือนพฤศจิกายน 2556 นี้ แต่ของบริษัท ฮัลลิเบอร์ตัน เอนเนอจีเซอร์วิสเซส อิงค์ ที่ตั้งอยู่ที่เลขที่ 234/2 หมู่ที่ 2 ตำบลพะวง อำเภอเมืองสงขลา ของบริษัทเชฟรอนฯ ที่แจ้งการจัดเก็บไว้กับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติว่า เก็บไว้ที่เลขที่ 2 ถนนแหล่งพระราม ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา ซึ่งก็อยู่ใจกลางเมือง และก็อยู่มานานแสนนาน การขนย้ายจากที่เก็บไปตามถนนสู่ท่าเรือเพื่อเอาไปทำงานในทะเล ไป-กลับๆ สัปดาห์ละกี่เที่ยว กากสารวัสดุกัมมันตรังสีที่หมดอายุพวกเขาจัดเก็บกันอย่างไร ปลอดภัยแค่ไหน รวมถึงอีก 8 บริษัทในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ ในอำเภอสิงหนคร
วันนี้ การจัดเก็บวัสดุกัมมันตรังสีเหล่านั้น จึงเปรียบเสมือน “นรกที่รอวันแตก” ให้ผีเปรตออกมาหลอกหลอนทำร้ายประชาชนตาดำๆ คำถามจึงมีว่า คนสงขลาจะรอให้นรกแตกเอง หรือหาหนทางจัดการกับขุมนรกเหล่านั้นก่อนที่จะสายเกินไป