xs
xsm
sm
md
lg

Edmond Halley ผู้พบดาวหางฮัลเลย์

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

ภาพเหมือนของ Edmond Halley
โลกรู้จัก Halley ว่าเป็นชื่อของดาวหางที่ Edmond Halley เป็นผู้พบ ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงรู้ว่า Halley เป็นนักดาราศาสตร์ แต่หลายคนคงไม่รู้ว่า Halley ยังเป็นปราชญ์ผู้มีความสามารถหลายด้านเช่นเดียวกับ Robert Hooke เพราะ Halley เป็นนักประดิษฐ์ผู้มีพรสวรรค์ระดับเดียวกับสถาปนิก Christopher Wren ที่ออกแบบสร้างมหาวิหาร St. Paul’s ในกรุงลอนดอน และเป็นผู้ที่เข้าใจทฤษฎีกลศาสตร์กับทฤษฎีแรงโน้มถ่วงดีระดับน้องๆ Newton ด้วย ถึงกระนั้นคนทั่วไปก็แทบไม่รู้ประวัติชีวิตของ Halley เลย

Halley เกิดที่หมู่บ้าน Shoreditch นอกกรุง London เมื่อปี 2199 (รัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง) บรรพบุรุษตั้งแต่ปู่ถึงบิดามีฐานะดีจากการมีอาชีพทำสบู่ขาย Halley มีชื่อเดิมว่า Hawley แต่ผู้คนมักเขียนเป็น Halley และชื่อที่เขียนผิดนี้เองที่คนรู้จักดี บิดามารดาของ Halley ได้เข้าพิธีสมรสก่อน Halley จะเกิด 2 เดือน Halley เป็นบุตรคนโตมีน้อง 2 คน เมื่ออายุ 10 ขวบ Halley ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียน St. Paul’s อีก 1 ปีต่อมา แม่ได้เสียชีวิต พ่อจึงแต่งงานใหม่ จากนั้น Halley วัย 16 ปี ได้ไปเรียนต่อที่ Queen’s College แห่งมหาวิทยาลัย Oxford ถึงเป็นนิสิตปริญญาตรี แต่ Halley ก็มีงานวิจัยตีพิมพ์ถึงสามเรื่องในวารสาร Philosophical Transactions of the Royal Society โดยมี John Flamsteed นักดาราศาสตร์แห่งราชสำนักเป็นผู้ร่วมวิจัย ผลงานนี้ทำให้ Robert Hooke และ Christopher Wren รู้สึกประทับใจในความสามารถของ Halley มาก ถึงจะได้เรียนที่ มหาวิทยาลัย Oxford แต่ Halley ก็เช่นเดียวกับนิสิตคนอื่นๆ ในสมัยนั้น คือไม่คิดจะเรียนเอาปริญญา ดังนั้น จึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย

เพราะยุโรปในสมัยนั้นมีการเดินเรือกันมาก ดังนั้นการรู้ตำแหน่งที่ถูกต้องของเรือจึงเป็นเรื่องจำเป็น บรรดาชาติมหาอำนาจจึงทำให้นักดาราศาสตร์ของตนแข่งกันวิจัยเรื่องนี้ เช่น ฝรั่งเศสให้ Giovanni Domenico Cassini ทำงานวิจัยที่ปารีส ส่วน Johammes Hevelius ก็ทำงานที่ Danzig ในเยอรมนี และ John Flamsteed ทำงานที่ Greenwich ในอังกฤษ เป็นต้น

การได้เห็นนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ประลองความสามารถทางสมองเช่นนี้ ทำให้ Halley ตระหนักว่า โอกาสที่ตนซึ่งด้อยประสบการณ์กว่าจะทำงานได้ดีเท่านักวิทยาศาสตร์ทั้งสามเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงตัดสินใจทำงานวิจัยเรื่องอื่นแทน และเมื่อ Halley พบว่า Tycho Brahe ได้เคยสำรวจตำแหน่งดาวต่างๆ บนท้องฟ้าเหนือเส้นศูนย์สูตรเกือบสมบูรณ์แล้ว เขาจึงคิดสำรวจดาวบนท้องฟ้าใต้เส้นศูนย์สูตรบ้าง และได้ออกเดินทางจาก Oxford ไปเกาะ St. Helena ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ โดยนำกล้องโทรทรรศน์ไปด้วย เพราะ Halley คาดจะเห็นดาวพุธโคจรตัดหน้าดวงอาทิตย์ แต่ในวันที่เกิดเหตุการณ์ท้องฟ้ามีเมฆครึ้ม เขาจึงไม่เห็นดาวพุธ

ในการสำรวจท้องฟ้าครั้งนั้น Halley ได้ใช้เวลาถึง 2 ปี จึงวัดตำแหน่งของดาวฤกษ์ได้ถึง 340 ดวง และได้นำผลงานนี้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชื่อ Catalogus stellarum australium ซึ่งทำ Flamsteed รู้สึกประทับใจมากจนถึงกับออกปากชม Halley ว่าเป็น Tycho แห่งฟ้าด้านใต้ และจากผลงานนี้เองที่ทำให้ Halley ได้รับเลือกเป็น Fellow of the Royal Society (F.R.S.) ขณะมีอายุเพียง 22 ปีเท่านั้นเอง

ตลอดชีวิตการทำงานที่ยาวนาน Halley มีเพื่อนที่เก่งและสามารถหลายคน เช่น Samuel Pepys, Christopher Wren และ John Locke แต่เพื่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และสำคัญที่สุดคือ Isaac Newton เพราะเมื่อ Halley รู้ว่า Newton พบกฎแรงโน้มถ่วงที่สามารถอธิบายวิธีโคจรของดาวเคราะห์ต่างๆ รอบดวงอาทิตย์ได้ เขาได้กระตุ้นให้ Newton ตีพิมพ์ผลงานที่ทำไว้ โดยได้เสนอออกเงินค่าพิมพ์ให้ด้วย ทั้งๆ ที่ขณะนั้น (ปี พ.ศ. 2227) บิดาของ Halley ถูกฆาตกรรม และ Halley เองก็มีปัญหาด้านการเงิน

เมื่อ Halley ได้อ่านและแก้ไขเนื้อหาที่ Newton เขียนผิดในตำรา Principia แล้ว เขาก็เข้าใจความสำคัญของทฤษฎี Newton อย่างสมบูรณ์ และเมื่อได้พบว่า Newton กับ Hooke ถกเถียงกันเรื่องใครเป็นคนพบกฎแรงโน้มถ่วง Halley ได้พยายามไกล่เกลี่ย แต่ไม่เป็นผล ในเวลาต่อมา Halley ได้เสนอแนะให้ Newton เขียนตำรา Principia โดยได้มอบข้อมูลดาราศาสตร์ของตนให้ Newton เพื่อใช้พิสูจน์ความถูกต้องของกฎแรงโน้มถ่วง จากนั้นก็นำผลงานที่ Newton เขียนตีพิมพ์ในวารสาร Philosophical Transactions of the Royal Society ที่มี Halley เป็นบรรณาธิการ Halley จึงทำหน้าที่เสมือนนางพยาบาลผู้ช่วยให้ Newton คลอดตำรา Principia อย่างปลอดภัย ถึงตำรา Principia จะถูกเขียนเป็นภาษาละตินที่นักวิทยาศาสตร์สมัยนั้นเข้าใจแต่ Newton ก็เขียนในลักษณะที่อ่านเข้าใจยาก Halley จึงได้เรียบเรียงคำอธิบายบางตอนใหม่ เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจด้วย
แผนภาพแสดงความแปรปรวนของสนามแม่เหล็กของ Edmond Halley
ตามปกติ Halley สนใจวิจัยวิทยาการหลายสาขา เช่น กลศาสตร์ และอุตุนิยมวิทยา ฯลฯ และได้พบว่า บรรยากาศของโลกมีความหนาประมาณ 60 กิโลเมตร นอกจากนี้ Halley ก็ยังสนใจปัญหาการแผ่รังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ การเคลื่อนที่ของลมและการไหลของน้ำในบริเวณต่างๆ ของโลกด้วย สำหรับด้านดาราศาสตร์นั้น Halley ได้พยายามคำนวณขนาดของสุริยะจักรวาล และอายุของโลก ในงานคณิตศาสตร์ Halley ก็มีผลงานเรขาคณิตมากมายจนได้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์เรขาคณิตแห่งมหาวิทยาลัย Oxford ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2246 และเป็นนักดาราศาสตร์ประจำราชสำนัก (Astronomer Royal) ในปี พ.ศ. 2264 จากการมีผลงานคำนวณเรื่อง วิถีโคจรของดวงจันทร์ กับการทำนายการหวนกลับมาเยือนโลกของดาวหางชื่อ Halley

ยุโรปในสมัยเมื่อ 400 ปีก่อนเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครรู้ดีว่า วิธีใดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการศึกษาธรรมชาติ Francis Bacon ได้เคยเสนอความคิดว่า การเก็บข้อมูล การสังเกต และการใช้จินตนาการเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งในมุมมองเช่นนั้น คณิตศาสตร์มิได้เข้ามามีบทบาทในวิทยาศาสตร์เลย ส่วน Galileo, Johannes Kepler และ Rene Descartes ได้ใช้คณิตศาสตร์เป็นหลักในการศึกษาธรรมชาติ Halley ซึ่งเป็นเพื่อนกับ Newton ก็เลือกใช้คณิตศาสตร์เวลาศึกษาดาราศาสตร์ แต่เมื่อเขาศึกษาความแปรปรวนของสนามแม่เหล็กโลกเขากลับใช้แนวคิดของ Bacon

ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 แผนที่ดาวบนท้องฟ้าและแผนที่โลกเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นหนังสือสมัยนั้นจึงมีทั้งแผนที่โลกและแผนที่ดาวอยู่ใกล้กัน ในส่วนของแผนที่ดาว John Flamsteed นักดาราศาสตร์แห่งราชสำนักเป็นคนที่มีบทบาทมากในการสร้าง แต่ Flamsteed ไม่ชอบให้ใครตำหนิ หรือติเตียนผลงานของตน ดังนั้น เมื่อ Halley แสดงให้เห็นว่า ข้อมูลบางข้อมูลที่ Flamsteed นำมาเสนอผิดพลาด Flamsteed จึงไม่พอใจมาก และตัดความสัมพันธ์กับ Halley ทันที แล้วเริ่มกล่าวหา Halley ว่าคัดลอกข้อมูลของคนอื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งๆ ที่ก่อนนั้น Flamsteed เคยชื่นชม Halley มาก ความขัดแย้งนี้ได้ดำเนินไปนานหลายปี จนถึงปี 2235 Halley จึงได้ออกมากล่าวยืนยันในที่สาธารณะว่า ข้อมูลที่เสนอคือข้อมูลที่ได้จากการทดลองของตนทั้งสิ้น และเมื่อ Flamsteed เสียชีวิตในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2262 Halley ก็ได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งนักดาราศาสตร์แห่งราชสำนักแทน ขณะนั้น Halley มีอายุ 64 ปี และหลังจากที่ได้ศึกษาทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของ Newton จนเข้าใจดีแล้ว Halley ก็ได้เสนอผลงานด้านเอกภพวิทยาเกี่ยวกับธรรมชาติของเอกภพที่มีขนาดอนันต์ โดยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีของ Newton นี่จึงเป็นการศึกษาเอกภพเป็นครั้งแรก

ในช่วงเวลานั้นชาวยุโรปหลายคนกำลังสนใจและเลื่อมใสไสยศาสตร์ แม้กระทั่งสมาชิกของ Royal Society บางคนก็เชื่อ สมาคมเองก็เปิดรับข้อมูลประหลาดๆ มาตีพิมพ์ใน Philosophical Transactions เช่น ความเชื่อเรื่องเวทมนต์ โหราศาสตร์ การเล่นแร่แปรธาตุ ฯลฯ แม้แต่ Newton ก็เชื่อเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและได้ใช้เวลานานกว่า 25 ปี ทดลองเรื่องนี้ ดังนั้นจึงนับเป็นเรื่อง “ปกติ” ที่ผู้คนยังคิดว่าดาวหางเป็นดาวอัปมงคลที่นำความหายนะมาสู่โลกทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏในท้องฟ้า แต่ไม่มีใครรู้ว่า ดาวหางมาจากไหน การสังเกตของ Tycho Brahe ในปี 2120 แสดงให้เห็นว่า ดาวหางอยู่ไกลจากโลกยิ่งกว่าดวงจันทร์มาก Halley จึงใช้ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของ Newton พิสูจน์ให้ทุกคนประจักษ์ว่า ดาวหางเป็นดาวดวงหนึ่งของสุริยะจักรวาลที่วงโคจรมีลักษณะรีมาก ดังนั้นมันจะหวนกลับมาให้โลกเห็นอีกเป็นระยะๆ ด้วยเหตุนี้ ดาวหางดวงที่เขาเห็นในปี 2226 ก็จะกลับมาให้เห็นอีกตอนปลายปี 2301 และเมื่อดาวหางดวงนั้นปรากฏ 16 ปีหลังจากที่ Halley ตาย ทฤษฎีของ Halley ก็ได้รับการยืนยันว่าถูกต้อง และนี่คือ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Halley
ภาพดาวหาง Halley เมื่อ 8 มี.ค.1986 บันทึกโดย W. Liller จากเกาะอีสเตอร์
ในฤดูใบไม้ผลิของปี 2258 คณะนักดาราศาสตร์ยุโรปกลุ่มหนึ่งได้เตรียมตัวดูสุริยุปราคาเต็มดวงในวันที่ 22 เมษายนของปีนั้น ซึ่งผู้คนค่อนประเทศจะเห็นเหตุการณ์นี้ Royal Society จึงได้มอบให้ Halley จัดการเตรียมอุปกรณ์ดาราศาสตร์แสดงให้ประชาชนดู Halley ได้ตีพิมพ์แผนที่ของเกาะอังกฤษซึ่งแสดงเส้นทางที่เงามืดของดวงจันทร์จะทอดผ่าน เพื่อบอกล่วงหน้าไม่ให้ประชาชนอังกฤษแตกตื่นกลัว

ปรากฏการณ์แสงเหนือแสงใต้ ก็เป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่ผู้คนกลัว ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2259 ได้มีการเห็นแสงเหนือสว่างไสวเหนือท้องฟ้าในอังกฤษ หลายคนคิดว่า แสงนี้เกิดจากการที่เทพเจ้าไม่พอพระทัยที่ Lord Derwentwater ถูกประหารชีวิต Royal Society จึงให้ Halley แสดงความเห็นเรื่องนี้ และ Halley ก็ได้เสนอแนะว่า อนุภาคแม่เหล็กเมื่อได้รับการเสียดสีโดยอากาศสามารถเปล่งแสงได้ การเชื่อมโยงแสงกับแรงแม่เหล็กที่กระทำต่อประจุไฟฟ้า แสดงให้เห็นจินตนาการที่ลึกล้ำของ Halley ในการกำจัดความเชื่อทางไสยศาสตร์ของชาวบ้าน

จากการที่ Halley ได้พยายามล้มล้างความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายต่อหลายครั้งนี้เอง ได้ทำให้เพื่อนๆ และศัตรูของเขาจึงกล่าวว่าเขาเป็นคนไม่มีศาสนาและไม่นับถือพระเจ้า ดังนั้นเมื่อตำแหน่งศาสตราจารย์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Oxford ว่างลง มหาวิทยาลัยจึงไม่ได้แต่งตั้งให้ Halley เข้ารับตำแหน่งแทนด้วยข้อหาว่า Halley เป็นคนไร้ศาสนา จนอีก 12 ปีต่อมา เมื่อ John Wallis นักคณิตศาสตร์ตาย Halley จึงได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์คณิตศาสตร์แทน และได้เขียนผลงานคณิตศาสตร์ออกมามากมาย รวมถึงได้แปลผลงานของ Apollonius เรื่อง ภาคตัดกรวย จากภาษาอาหรับเป็นภาษาละตินด้วย

ในด้านการเมือง Halley เป็นพวกอนุรักษ์นิยม และเป็นคนเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ทำให้กษัตริย์ William ทรงมอบหมายให้ Halley คุมกองทัพเรือ และพระราชินี Anne ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นทูตหลายครั้ง Halley จึงรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณมาก

Halley ดื่มสุรา บรั่นดี และเหล้าองุ่นจัด เขาเสียชีวิตในปี 2285 ที่เมือง Greenwich ขณะอายุ 85 ปี บนหลุมฝังศพของเขามีถ้อยคำจารึกว่า “Halley เจ้าชายแห่งดาราศาสตร์” และเมื่อถึงปี 2301 ดาวหาง Halley ก็ได้หวนกลับมาเยือนโลกอีก ตามที่ Halley สั่ง

ในวารสาร Journal of Cosmology ฉบับที่ 9 หน้า 1010 ปี 2010 Daniel Graham และ Eric Hintz แห่งมหาวิทยาลัย Brigham Young ในสหรัฐอเมริกาได้คำนวณพบว่า เมื่อ 466-468 ปีก่อนคริสตกาล ดาวหาง Halley ได้มาปรากฏในท้องฟ้าเหนือกรีซ เป็นเวลานาน 82 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน ถึง 25 สิงหาคม และในช่วงเวลานั้นโลกได้โคจรผ่านบริเวณส่วนหางของดาวหาง การเสียดสีระหว่างเศษผงก้อนหินกับบรรยากาศโลกได้ทำให้เห็นฝนดาวตก ดังที่นักดาราศาสตร์กรีกตั้งแต่สมัย Aristotle เช่น Plutarch และ Anaxagoras ได้บันทึกไว้ รายงานนี้จึงเป็นสถิติการเห็นดาวหาง Halley ที่โบราณยิ่งกว่า บันทึกของนักดาราศาสตร์จีนที่แสดงว่า ดาวหาง Halley ได้ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรกเมื่อ 240 ก่อนคริสตกาล

ในความเห็นด้านดาราศาสตร์ของ Anaxagoras นั้น ก็นับว่ามีบทบาทสำคัญ เพราะเขาเคยกล่าวว่าก้อนหินอาจตกจากฟ้าได้ ทั้งๆ ที่ในสมัยนั้นผู้คนเชื่อว่า การที่ดวงจันทร์ และดาวต่างๆ ลอยอยู่บนฟ้าได้ เพราะดาวเหล่านี้เบากว่าอากาศ แต่เมื่อ Anaxagoras สังเกตปรากฏการณ์สุริยุปราคาเมื่อ 478 ปีก่อนคริสตกาลเขาก็รู้ทันทีว่า ดวงจันทร์คือก้อนหินขนาดใหญ่ ดังนั้นบนฟ้าจึงมีก้อนหินซึ่งบางครั้งได้ถูกดาวหาง Halley ชนทำให้หินตกลงบนโลก การรู้เช่นนี้จึงทำให้คนกรีกในสมัยนั้นเข้าใจเอกภพดีขึ้น

เกี่ยวกับผู้เขียน

สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสถาน และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์

ประวัติการศึกษา - ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์







กำลังโหลดความคิดเห็น