WWF- WWF เตือนประชากรโลมาน้ำจืดที่มีเพียง 6 ตัว ที่อยู่โดดเดี่ยวในวังน้ำลึกในแม่น้ำโขง บริเวณพรมแดนระหว่างลาว กับกัมพูชา จะคงอยู่ได้ไม่นาน หากลาวไม่มีมาตรการเร่งด่วนในการสั่งห้ามการใช้อวนจับปลาในพื้นที่อาศัยของโลมาในเขตพรมแดนของลาว
ในรายงานฉบับใหม่ของ WWF เรื่อง โอกาสสุดท้ายของโลมาในลาว เผยว่า นับตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา มีโลมาน้ำจืดตายมากกว่า 30 ตัว ทั้งในและรอบบริเวณวังน้ำลึก ระหว่างพรมแดนของทั้งสองประเทศ โดยมีสาเหตุหลักจากอวนจับปลาของชาวประมงท้องถิ่น และตั้งแต่เดือน ม.ค.-เม.ย.ปีนี้ WWF พบอวนจับปลาตามจุดต่างๆ มากกว่า 100 ปาก วางอยู่ทั้งใน และรอบๆ บริเวณวังน้ำลึก ซึ่งบางครั้งพบมากถึง 188 ปาก
เมื่อเร็วๆ นี้ กัมพูชาเพิ่งออกกฎหมายห้ามการใช้อวนจับปลาในบริเวณวังน้ำ และบริเวณใกล้เคียงในฝั่งพรมแดนของประเทศ แต่ในประเทศลาว ห้ามการใช้อวนจับปลาเฉพาะบริเวณลึกที่สุดของวังน้ำในฝั่งประเทศตัวเอง แม้ในช่วงฤดูแล้ง โลมาจะหากินในพื้นที่เพียง 1 ตารางกิโลเมตร บริเวณวังน้ำระหว่างสองประเทศ แต่ในช่วงฤดูฝนโลมาจะขยายขอบเขตหากินกว้างขึ้นเป็น 5 ตารางกิโลเมตร
“โลมาน้ำจืดทั้ง 6 ตัวนี้ ว่ายน้ำฝ่าอันตรายและเสี่ยงตาย เพราะพันเข้ากับกำแพงตาข่ายที่ลอยอยู่ในน้ำ ลาวจะต้องประกาศห้ามการใช้อวนจับปลาในบริเวณวังน้ำ ลึกครอบคลุมทั่วบริเวณพรมแดนของตัวเองตลอดทั้งปี หรือเสี่ยงที่จะต้องสูญเสียประชากรโลมาน้ำจืดตัวสุดท้ายของประเทศ” เจอร์รี่ ไรอัน ที่ปรึกษาด้านเทคนิคของ WWF-กัมพูชา และผู้เขียนรายงานกล่าว
โลมาอิรวดีซึ่งเป็นโลมาน้ำจืด กลุ่มที่อาศัยในแม่น้ำโขงตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจะสูญพันธุ์อย่างมาก จำนวนของโลมาที่อาศัยในแม่น้ำโขงระยะทาง 190 กิโลเมตร ที่ไหลผ่านระหว่างภาคใต้ของลาว กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชา ลดลงเหลือเพียงประมาณ 85 ตัวเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เชื่อกันว่า มีโลมามากถึง 40-50 ตัว ที่อาศัยในบริเวณวังน้ำลึกระหว่างพรมแดน และลดจำนวนลงเหลือประมาณ 25 ตัว ในช่วงปี 2533 และเชื่อว่า โลมาทั้ง 6 ตัวที่อาศัยในวังน้ำลึกบริเวณพรมแดนนี้ น่าจะเป็นประชากรโลมากลุ่มย่อยที่แยกตัวอยู่เพียงกลุ่มเดียว โดยไม่เคลื่อนย้ายขึ้นลงตามลำน้ำโขง
ในขณะที่จำนวนโลมาลดจำนวนลง แต่การท่องเที่ยวเพื่อดูโลมาในพื้นที่ดังกล่าวกลับขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ปีที่แล้วคาดว่ามีนักท่องเที่ยวราว 20,000 คน มาดูโลมาในบริเวณดังกล่าวนับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวดูโลมาจากหนึ่งในสองจุด ชมโลมาฝั่งลาว เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว ส่วนในฝั่งกัมพูชา นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังหนึ่งในสองจุดชมโลมาฝั่งกัมพูชา เพิ่มขึ้นเกือบ 30 เท่า นับตั้งแต่ปี 2548
“โลมาเป็นจุดสนใจหลักในการท่องเที่ยวและช่วยเพิ่มการเติบโตของการท่องเที่ยวการท่องเที่ยวเพื่อชมโลมาสร้างรายได้ที่จำเป็นแก่ชาวบ้านในท้องถิ่น หรือไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเขาก็ต้องพึ่งพาแต่เพียงการประมงเพื่อยังชีพ และหารายได้ ดังนั้น จึงค่อนข้างชัดเจนว่า การอนุรักษ์โลมาก็หมายถึงการพัฒนาอย่างชาญฉลาด” ไรอัน กล่าว
โลมาน้ำจืดไม่เพียงแต่สร้างกำไรในการดำรงชีวิตอย่างเป็นรูปธรรมเท่านั้น พวกมันยังเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญถึงความสมบูรณ์ และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบนิเวศน้ำจืดอีกด้วย ดังนั้น การลดจำนวนลงของโลมา ยังอาจสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเสื่อมถอยของระบบนิเวศในองค์รวม ซึ่งเป็นสิ่งที่คนท้องถิ่นต้องพึ่งพิงอย่างมาก
“การสูญเสียโลมาน้ำจืด ไม่เพียงแต่จะเป็นการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพของลาวเท่านั้น แต่มันยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการเสื่อมถอยอย่างสิ้นเชิงของความสมบูรณ์ในระบบนิเวศแม่น้ำทั้งสาย ซึ่งรวมไปถึงการลดลงของสัตว์น้ำสาย-พันธุ์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน หากลาวเสียโลมาน้ำจืดที่เหลืออยู่ไป ก็เสี่ยงที่จะสูญเสียสิ่งอื่นๆอีกมากด้วยเช่นกัน” ไรอัน ระบุ
ถึงแม้ว่าอวนจับปลาจะเป็นภัยคุกคามปัจจุบันที่สร้างความเสี่ยงสูงสุดต่อการสูญพันธุ์ของโลมาทั้ง 6 ตัว แต่ขณะเดียวกัน ความร่วมมือระหว่างสองประเทศก็มีความจำเป็นเช่นกัน เพื่อยุติการลักลอบจับปลา และการระเบิดปลาในบริเวณดังกล่าว การจัดระเบียบการเดินเรือในวังน้ำลึก รวมทั้งการยกเลิกแผนการสร้างท่าเรือและทางลาดคอนกรีต ที่ Anlung Cheuteal แหล่งชมโลมาหลักของฝั่งกัมพูชา
“แรงกดดันที่มีต่อประชากรโลมาน้ำจืดจำนวนน้อยนิดกลุ่มนี้มีอย่างมหาศาล แต่ตราบใดที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีหวัง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความพยายามอย่างเร่งด่วน และเข้มงวดในการอนุรักษ์พวกมัน เพื่อให้โอกาสในการดำรงอยู่ของสัญลักษณ์ที่พบได้ยากในแม่น้ำโขงนี้ไว้ หากไม่มีการอนุรักษ์ ความหวังก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว” ไรอัน แนะ
อย่างไรก็ดี จดหมายข่าวจาก WWF ระบุด้วยว่า แม้จะไม่ทราบเพศของโลมาที่เหลืออยู่ แต่จากการเฝ้าจับตาในช่วงการผสมพันธุ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ยังมีทั้งโลมาตัวผู้ และตัวเมีย และหากมันได้รับการปกป้อง โลมากลุ่มนี้ก็อาจเพิ่มจำนวนขึ้นได้
ในรายงานฉบับใหม่ของ WWF เรื่อง โอกาสสุดท้ายของโลมาในลาว เผยว่า นับตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา มีโลมาน้ำจืดตายมากกว่า 30 ตัว ทั้งในและรอบบริเวณวังน้ำลึก ระหว่างพรมแดนของทั้งสองประเทศ โดยมีสาเหตุหลักจากอวนจับปลาของชาวประมงท้องถิ่น และตั้งแต่เดือน ม.ค.-เม.ย.ปีนี้ WWF พบอวนจับปลาตามจุดต่างๆ มากกว่า 100 ปาก วางอยู่ทั้งใน และรอบๆ บริเวณวังน้ำลึก ซึ่งบางครั้งพบมากถึง 188 ปาก
เมื่อเร็วๆ นี้ กัมพูชาเพิ่งออกกฎหมายห้ามการใช้อวนจับปลาในบริเวณวังน้ำ และบริเวณใกล้เคียงในฝั่งพรมแดนของประเทศ แต่ในประเทศลาว ห้ามการใช้อวนจับปลาเฉพาะบริเวณลึกที่สุดของวังน้ำในฝั่งประเทศตัวเอง แม้ในช่วงฤดูแล้ง โลมาจะหากินในพื้นที่เพียง 1 ตารางกิโลเมตร บริเวณวังน้ำระหว่างสองประเทศ แต่ในช่วงฤดูฝนโลมาจะขยายขอบเขตหากินกว้างขึ้นเป็น 5 ตารางกิโลเมตร
“โลมาน้ำจืดทั้ง 6 ตัวนี้ ว่ายน้ำฝ่าอันตรายและเสี่ยงตาย เพราะพันเข้ากับกำแพงตาข่ายที่ลอยอยู่ในน้ำ ลาวจะต้องประกาศห้ามการใช้อวนจับปลาในบริเวณวังน้ำ ลึกครอบคลุมทั่วบริเวณพรมแดนของตัวเองตลอดทั้งปี หรือเสี่ยงที่จะต้องสูญเสียประชากรโลมาน้ำจืดตัวสุดท้ายของประเทศ” เจอร์รี่ ไรอัน ที่ปรึกษาด้านเทคนิคของ WWF-กัมพูชา และผู้เขียนรายงานกล่าว
โลมาอิรวดีซึ่งเป็นโลมาน้ำจืด กลุ่มที่อาศัยในแม่น้ำโขงตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจะสูญพันธุ์อย่างมาก จำนวนของโลมาที่อาศัยในแม่น้ำโขงระยะทาง 190 กิโลเมตร ที่ไหลผ่านระหว่างภาคใต้ของลาว กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชา ลดลงเหลือเพียงประมาณ 85 ตัวเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เชื่อกันว่า มีโลมามากถึง 40-50 ตัว ที่อาศัยในบริเวณวังน้ำลึกระหว่างพรมแดน และลดจำนวนลงเหลือประมาณ 25 ตัว ในช่วงปี 2533 และเชื่อว่า โลมาทั้ง 6 ตัวที่อาศัยในวังน้ำลึกบริเวณพรมแดนนี้ น่าจะเป็นประชากรโลมากลุ่มย่อยที่แยกตัวอยู่เพียงกลุ่มเดียว โดยไม่เคลื่อนย้ายขึ้นลงตามลำน้ำโขง
ในขณะที่จำนวนโลมาลดจำนวนลง แต่การท่องเที่ยวเพื่อดูโลมาในพื้นที่ดังกล่าวกลับขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ปีที่แล้วคาดว่ามีนักท่องเที่ยวราว 20,000 คน มาดูโลมาในบริเวณดังกล่าวนับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวดูโลมาจากหนึ่งในสองจุด ชมโลมาฝั่งลาว เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว ส่วนในฝั่งกัมพูชา นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังหนึ่งในสองจุดชมโลมาฝั่งกัมพูชา เพิ่มขึ้นเกือบ 30 เท่า นับตั้งแต่ปี 2548
“โลมาเป็นจุดสนใจหลักในการท่องเที่ยวและช่วยเพิ่มการเติบโตของการท่องเที่ยวการท่องเที่ยวเพื่อชมโลมาสร้างรายได้ที่จำเป็นแก่ชาวบ้านในท้องถิ่น หรือไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเขาก็ต้องพึ่งพาแต่เพียงการประมงเพื่อยังชีพ และหารายได้ ดังนั้น จึงค่อนข้างชัดเจนว่า การอนุรักษ์โลมาก็หมายถึงการพัฒนาอย่างชาญฉลาด” ไรอัน กล่าว
โลมาน้ำจืดไม่เพียงแต่สร้างกำไรในการดำรงชีวิตอย่างเป็นรูปธรรมเท่านั้น พวกมันยังเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญถึงความสมบูรณ์ และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบนิเวศน้ำจืดอีกด้วย ดังนั้น การลดจำนวนลงของโลมา ยังอาจสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเสื่อมถอยของระบบนิเวศในองค์รวม ซึ่งเป็นสิ่งที่คนท้องถิ่นต้องพึ่งพิงอย่างมาก
“การสูญเสียโลมาน้ำจืด ไม่เพียงแต่จะเป็นการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพของลาวเท่านั้น แต่มันยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการเสื่อมถอยอย่างสิ้นเชิงของความสมบูรณ์ในระบบนิเวศแม่น้ำทั้งสาย ซึ่งรวมไปถึงการลดลงของสัตว์น้ำสาย-พันธุ์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน หากลาวเสียโลมาน้ำจืดที่เหลืออยู่ไป ก็เสี่ยงที่จะสูญเสียสิ่งอื่นๆอีกมากด้วยเช่นกัน” ไรอัน ระบุ
ถึงแม้ว่าอวนจับปลาจะเป็นภัยคุกคามปัจจุบันที่สร้างความเสี่ยงสูงสุดต่อการสูญพันธุ์ของโลมาทั้ง 6 ตัว แต่ขณะเดียวกัน ความร่วมมือระหว่างสองประเทศก็มีความจำเป็นเช่นกัน เพื่อยุติการลักลอบจับปลา และการระเบิดปลาในบริเวณดังกล่าว การจัดระเบียบการเดินเรือในวังน้ำลึก รวมทั้งการยกเลิกแผนการสร้างท่าเรือและทางลาดคอนกรีต ที่ Anlung Cheuteal แหล่งชมโลมาหลักของฝั่งกัมพูชา
“แรงกดดันที่มีต่อประชากรโลมาน้ำจืดจำนวนน้อยนิดกลุ่มนี้มีอย่างมหาศาล แต่ตราบใดที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีหวัง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความพยายามอย่างเร่งด่วน และเข้มงวดในการอนุรักษ์พวกมัน เพื่อให้โอกาสในการดำรงอยู่ของสัญลักษณ์ที่พบได้ยากในแม่น้ำโขงนี้ไว้ หากไม่มีการอนุรักษ์ ความหวังก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว” ไรอัน แนะ
อย่างไรก็ดี จดหมายข่าวจาก WWF ระบุด้วยว่า แม้จะไม่ทราบเพศของโลมาที่เหลืออยู่ แต่จากการเฝ้าจับตาในช่วงการผสมพันธุ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ยังมีทั้งโลมาตัวผู้ และตัวเมีย และหากมันได้รับการปกป้อง โลมากลุ่มนี้ก็อาจเพิ่มจำนวนขึ้นได้