xs
xsm
sm
md
lg

เตรียมสืบค้นดีเอ็นเอล่าต้นตอ “เยติ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้เชื่อในเรื่องเยติเชื่อว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้คือลิงใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว (บีบีซีนิวส์)
ทีมวิจัยอังกฤษ-สวิส เตรียมใช้การทดสอบดีเอ็นเอ เพื่อสืบหาต้นตอซากชิ้นส่วนที่อ้างว่ามาจากตัวเยติหรือไอ้ตีนโต “บิกฟุต” โดยโครงการวิจัยนี้จะตรวจเส้นผม กระดูก และวัสดุอื่นๆ จากวัสดุอื่นๆ ที่เก็บรวบรวมโดยนักชีววิทยาสวิส รวมถึงจะเชื้อเชิญการส่งตัวอย่างจากที่อื่นด้วย

ทั้งนี้ จากรายงานของบีบีซีนวิส์ ระบุว่า มีหลายวัฒนธรรมที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานสิ่งมีชีวิตคล้ายคนขนรุงรังที่ซ่อนตัวอยู่ตามป่าและพบเห็นได้ยาก แต่ยังไม่เคยมีชิ้นส่วนที่อ้างว่ามาจากสิ่งมีชีวิตดังกล่าวถูกส่งเข้าไปตรวจตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน

ศ.ไบรอัน ไซค์ส (Prof. Bryan Sykes) จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University) อังกฤษ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นงานท้าทายทางวิชาการกับการรับมือกับความหวาดกลัว และเป็นรายงานที่เต็มไปด้วยเรื่องคนประหลาดและการหลอกลวงอย่างสิ้นเชิง

ทั้งนี้ ทีมนักวิจัยจะประยุกต์ใช้กระบวนการเป็นขั้นเป็นตอนที่ทำซ้ำได้ และใช้การทดสอบทางพันธุกรรมที่ล้ำหน้าล่าสุด โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งผลการวิจัยตีพิมพ์ยังวารสารวิทยาศาสตร์ทีมี่การตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ

นักพันธุศาสตร์จากออกซ์ฟอร์ดผู้นี้ ยังให้ข้อมูลผ่านทางรอยเตอร์ ว่า มีการทดสอบดีเอ็นเอของสิ่งที่อ้างว่าเป็นตัวเยติ แต่มาถึงปัจจุบันการทดสอบดีเอ็นเอ โดยเฉพาะการทดสอบเส้นขนนั้นได้รับการพัฒนาไปมาก อันเป็นผลจากความก้าวหน้าของนิติวิทยาศาสตร์

ศ.ไซค์ส ซึ่งเป็นผู้นำของโครงการที่ร่วมมือกับ ไมเคิล ซาร์โทริ (Michel Sartori) ผู้อำนวยการจากพิพิธภัณฑ์สัตววิทยาโลซานน์ (Lausanne Museum of Zoology) กล่าวว่า การทดสอบปัจจุบันนั้นสามารถให้ผลที่ถูกต้องแม้ทดสอบจากชิ้นส่วนของความยาวเส้นผม

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1951 คณะสำรวจเทือกเขาเอเวอเรสต์ได้เดินทางกลับมาพร้อมภาพถ่ายของรอยเท้าขนาดยักษ์บนพื้นหิมะ จุดกระแสให้เกิดการใคร่ครวญเรื่องมนุษย์ยักษ์แห่งหิมาลัย ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการวิทยาศาสตร์ และนับจากนั้นก็มีรายงานพยานพบเห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายๆ กันอีกจำนวนมาก จากหลายพื้นที่ทั่วมุมโลก

มนุษย์ประหลาดดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “เยติ” (yeti) หรือ มิกอย (migoi) ในแถบเทือกเขาหิมาลัย “บิกฟุต” (bigfoot) หรือ “แซสควอทช์” (sasquatch) ในแถบอเมริกาเหนือ “อัลมาสตี” (almasty) ในเทือกเขาเคาคาซัส และ “โอรังเปนเดะก์” (orang pendek) ในเกาะสุมาตรา และอื่นๆ อีกมาก

ตัวอย่างที่จะนำมาศึกษานั้นเป็นสิ่งที่เก็บสะสมไว้ในพิพิธภัณฑ์โลซานน์ ซึ่งรวบรวมโดย เบอรืนาร์ด ฮูเวลมันส์ (Bernard Heuvelmans) นักชีววิทยาสวิส ผู้ทำการสืบสวนรายงานการพบเห็นเยติ ตั้งแต่ปี 1950 ถึงปี 2001 ที่เขาเสียชีวิต ส่วนสถาบันอื่น หรือหน่วยงานเอกชนที่มีชิ้นส่วนของเยติก็จะได้รับการร้องขอจากทีมวิจัยให้ส่งรายละเอียดมาให้

นอกเหนือจากการไขปริศนาเรื่องเยติแล้ว ศ.ไซค์ส คาดหวังว่า โครงการนี้จะเพิ่มเติมองค์ความรู้เรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์สปีชีส์ต่างๆ ในอดีต ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้วมีความชัดเจนในเรื่องการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์โฮโมซาเปียน (Homo sapiens) และนีแอนเดอทัล (Neanderthal) โดยประชากรในยุโรปแต่ละคนมีดีเอ็นเอของนีแอนเดอทัลประมาณ 2-4%

ส่วนผู้ที่หลงใหลในเรื่องมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนนั้น กล่าวว่า เยติ และโอรังเปนเดะก์ อาจเป็นกลุ่มที่เหลือรอดของ “โฮโมอิเร็กตัส” (Homo erectus) หรือ โฮโมฟลอเรเซียนซิส (Homo floresiensis) ซึ่งในอินโดนีเซีย เรียกว่า “ฮอบบิท” (Hobbit) หรือไจแอนโทพิเธคัส (Gigantopithecus) ลิงใหญ่ไม่มีหางที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่ในป่าของเอเชียตะวันออก ก็เป็นได้ และจากแนวคิดนี้จึงเกิดศาสตร์ที่เรียกว่า “คริปโตซูโลจี” (cryptozoology) เพื่ออธิบายเรื่องการค้นหาสัตว์ประหลาดเหล่านี้

ขณะเดียวกัน ก็มีคนจำนวนมากที่กังขาต่อตำนานเหล่านี้และตระหนักว่าศาสตร์ดังกล่าวไม่ควรค่าพอต่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง และเมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงโอกาสของความสำเร็จของโครงการนั้น ศ.ไซค์ส กล่าวว่า เขาเองก็ไม่ทราบแน่อยู่แล้วว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่หากไม่ทดลองเราก็จะไม่มีทางรู้
กำลังโหลดความคิดเห็น