สนช. ร่วม สนพ. หนุนเงิน 26 ล้าน ให้ 4 บริษัทเอกชนนำร่อง โครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากชีวมวล ด้วยระบบแก๊สซิฟิเคชัน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำของเสียที่เหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต นำสู่การแปรรูป อาทิ ถ่านที่เหลือทิ้งมาอัดเป็นแท่งขายสู่ท้องตลาด แก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้ สามารถผันมาอบเชื้อเพลิงที่มีความชื้น ทั้งนี้ยังสามารถนำขี้เถ้ามาทำเป็นปุ๋ยเพื่อใช้ในการเกษตรกรรมได้อีกด้วย
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ได้มอบเงินสนับสนุนจำนวน 26 ล้านบาท ให้แก่บริษัทเอกชน 4 บริษัท ถือเป็นความร่วมมือร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ภายใต้โครงการนำร่องเพื่อผลิตพลังงานทดแทนจากชีวมวลในระดับชุมชน (ระบบผลิตไฟฟ้า) ด้วยเทคโนโลยีแก๊สซิฟิเคชั่น (Gasification)
เทคโนโลยีแก๊สซิฟิเคชันคืออะไร? เรื่องนี้ นายสาณัฐ สุวัติถิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คนปั่นไฟ จำกัด หนึ่งในบริษัทนำร่องที่ได้รับทุนสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากชีวมวลในระดับชุมชนด้วยระบบแก๊สซิฟิเคชั่น บอกทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ว่า ระบบดังกล่าวคือกระบวนการเปลี่ยนเชื้อเพลิงแข็ง อาทิ เศษไม้ ซังข้าวโพด เหง้ามันสำปะหลัง ทางปาล์ม กะลามะพร้าว หรือเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอื่นๆ มาเป็นเชื้อเพลิงแก๊ส
“แก๊สเชื้อเพลิงที่ได้จะส่งเข้าสู่กระบวนการทำความสะอาด เพื่อกำจัดยางน้ำมันดินและฝุ่นผงที่ปนมากับแก๊สเชื้อเพลิง จากนั้นจะลดความร้อนของแก๊สโดยการพ่นละอองน้ำ แล้วให้แก๊สเชื้อเพลิงผ่านถุงกรอง ก่อนนำเชื้อเพลิงไปใช้ในเครื่องยนต์ เพื่อหมุนเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้ได้กระแสไฟฟ้าออกมา” นายสาณัฐ อธิบาย
นายสาณัฐ อธิบายถึงข้อดีของระบบนี้ว่า เป็นระบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากของเสียจากการผลิตกระแสไฟฟ้านั้นจะนำมาแปรรูป อาทิ ของเสียที่เป็นของแข็ง สามารถนำมาอัดแท่งเป็นถ่านที่ให้ความร้อนสูงและนาน ทั้งยังไม่มีควัน ทั้งนี้แก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้นั้นยังสามารถผันมาอบเชื้อเพลิงที่มีความชื้นได้ด้วย
สำหรับเชื้อเพลิงที่บริษัทนำมาใช้ในโครงการนี้นั้น นายสาณัฐ เผยว่า เป็นเชื้อเพลิงที่ได้จากชีวมวลทั้งสิ้น ไม่มีการใช้เชื้อเพลิงอื่นๆ ถือเป็นการสร้างมูลค่าให้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่ต้องกำจัดทิ้งหรือมีมูลค่าน้อยเพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์สูงสุด อีกทั้งยังสร้างอาชีพใหม่ สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน โดยการสนับสนุนให้ปลูกไม้โตเร็ว อาทิ กระถินยักษ์ กระถินเทพา ยูคาลิปตัส เป็นต้น เพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงได้ต่อไป โรงไฟฟ้าอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าจากชุมชน ถือเป็นการดำเนินงานที่เป็นห่วงโซ่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน
อย่างไรก็ดี บริษัท คนปั่นไฟ จำกัด จะไปตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กมาก สำหรับชุมชนแบบครบวงจร ที่ตำบลผักขวง อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ ด้วยกำลังผลิต 250 กิโลวัตต์ ซึ่งใช้งบลงทุนทั้งหมด 20 ล้านบาท
ด้านบริษัท เคบีวัน จำกัด เป็นอีกหนึ่งในบริษัทนำร่องที่ได้รับทุนสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากชีวมวลด้วยระบบแก๊สซิฟิเคชั่น เช่นกัน นายธงชัย มันตภานีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ระบบแก๊สซิฟิเคชั่น นั้นเป็นเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ เริ่มจากการย่อยชีวมวลให้มีขนาดใกล้เคียงกัน ส่งเข้าไปยังห้องเผาไหม้ที่ควบคุมอากาศไหลเข้าในปริมาณจำกัด ทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะได้ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ไฮโดรเจน (H2) เป็นหลัก จนเกิดก๊าซมีเทน (CH4) ออกมา ซึ่งแก๊สที่เกิดขึ้นจะสามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าได้ต่อไป อย่างไรก็ดี เชื้อเพลิงที่บริษัทใช้นั้นส่วนใหญ่ใช้เปลือกไม้ยูคาลิปตัสที่เหลือทิ้งจากโรงงานมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า
นายธงชัย กล่าวถึงประโยชน์ของโรงไฟฟ้าชีวมวลว่า สามารถนำสิ่งที่เหลือจากกระบวนการผลิตอาทิ ขี้เถ้า มาทำเป็นปุ๋ยเพื่อใช้ในการเกษตรกรรม หรือเศษถ่านนำมาอัดแท่งขาย เป็นต้น และบริษัทนั้นจะไปตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กที่ หมู่บ้านซับตะคร้อ ต.ไทยเจริญ อ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมา ด้วยกำลังการผลิต 250 กิโลวัตต์ งบประมาณที่ใช้ราว 30 ล้านบาท
สำหรับ บริษัทเอกชน จำนวน 4 บริษัท ที่ได้รับเงินสนับสนุนนั้น นายศุภชัย หล่อโลหการ ผอ.สนช. ระบุว่า ได้แก่ บริษัท ไบร์ท เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด จำนวน 5.71 ล้านบาท บริษัท คนปั่นไฟ จำกัด จำนวน 5.83 ล้านบาท บริษัท เคบีวัน จำกัด จำนวน 7.04 ล้านบาท และบริษัท สลักเพชร รีนิวเอเบิล เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด จำนวน 7.42 ล้านบาท ซึ่งได้มอบให้เมื่อวันที่ 3 พ.ค.54 ณ โรงแรมสยามซิตี กรุงเทพฯ ซึ่งหลังจากได้รับเงินสนับสนุนแล้ว อีก 8 เดือน ทั้ง 4 บริษัทจะต้องดำเนินการผลิตและขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฝผ.) ต่อไป
นายศุภชัย เสริมด้วยว่า สำหรับงบประมาณที่สนับสนุนนั้นจะเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพลังงานทดแทนด้วยเทคโนโลยีแก๊สซิฟิเคชั่น เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับคนในชุมชน เกิดการจ้างงานในพื้นที่ รวมถึงช่วยลดปริมาณการเผาทำลายชีวมวลเหลือทิ้งที่เกิดในชุมชนได้อีกทางหนึ่งด้วย