ซินหัว - รายงานของรัฐบาลกัมพูชาระบุว่า ในปี 2553 ที่ผ่านมา กัมพูชาต้องนำเข้าไฟฟ้าอีก 42% ของความต้องการทั้งหมด แม้จะเพิ่มการผลิตไฟฟ้าเองในประเทศแล้วก็ตาม
รายงานของกระทรวงอุตสาหกรรม เหมืองแร่ และพลังงานกัมพูชาที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ (20 มี.ค.) ระบุว่า ในปี 2553 กัมพูชานำเข้าไฟฟ้าประมาณ 42% จากลาว ไทย และเวียดนาม รวมทั้งหมด 225 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ประมาณ 40% และว่าในปีที่ผ่านมาการผลิตไฟฟ้าในประเทศมีทั้งหมด 2,203.18 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี จากกำลังผลิตรวม 537 เมกะวัตต์
กัมพูชามีนโยบายด้านพลังงานไฟฟ้าที่ตั้งเป้าให้กระแสไฟฟ้าเข้าถึงบ้านเรือนของประชาชนในพื้นที่ชนบทให้ได้ 70% ภายในปี 2573 และในทุกหมู่บ้านภายในปี 2563 และตามการสรุปของรัฐบาลในภาคพลังงานระบุว่า อัตราการเติบโตของความต้องการด้านพลังงานไฟฟ้าในแต่ละปีของกัมพูชาอยู่ที่ 19% ขณะที่กรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศมีอัตราการเติบโตของความต้องการพลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ 25%
รายงานยังระบุว่า กัมพูชานำเข้าไฟฟ้าจากเวียดนามมากที่สุดประมาณ 67% ตามด้วยไทยที่ 32% และลาวอีก 1% แม้ว่ากัมพูชาจะมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนมากถึง 10,000 เมกะวัตต์ แต่ในปัจจุบันมีเพียง 10% ของศักยภาพในการผลิตที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
การไฟฟ้าแห่งชาติกัมพูชาเพิ่งจะบรรลุเป้าหมายการเข้าถึงกระแสไฟฟ้าประชาชนในประเทศเพียง 20% เท่านั้น โดยเป็นครัวเรือนในพื้นที่ชุมชนเมืองเกือบ 100% และในพื้นที่ชนบทเพียง 12.3%
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัมพูชาพยายามอย่างหนักที่จะกระตุ้นการลงทุนจากต่างชาติในภาคส่วนพลังงาน
ปัจจุบันบริษัทจากจีนเข้าลงทุนในด้านพลังงานไฟฟ้าด้วยการสร้างเขื่อนไฟฟ้ามากที่สุดในกัมพูชา ด้วยจำนวนทั้งหมด 11 แห่ง ทั้งที่ดำเนินการผลิตแล้วและอยู่ในระหว่างก่อสร้าง บริษัทจากเกาหลีใต้ตามมาเป็นลำดับที่ 2 จำนวน 6 แห่ง รัสเซีย 1 แห่ง เวียดนามอีก 1 แห่ง ที่เหลือเป็นนักลงทุนในท้องถิ่น
จนถึงเวลานี้ยังมีประชาชนชาวกัมพูชาเพียงไม่กี่ล้านคนจากกว่า 14 ล้านคน ที่เข้าถึงไฟฟ้าที่จ่ายจากรัฐ นอกนั้นยังคงต้องพึ่งเครื่องปั่นไฟ แบตเตอร์รี่ และแหล่งพลังงานอื่นๆ ในชุมชนของตัวเอง
กัมพูชาระบุว่ายุทธศาสตร์ด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศ คือการพัฒนาเครื่องกำเนิดไฟฟ้า การส่งผ่านและแลกเปลี่ยนพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ไม่เพียงมองแต่การนำเข้าในระยะสั้นเท่านั้น แต่รวมถึงการส่งออกพลังงานไฟฟ้าในระยะยาวด้วย
นโยบายของรัฐบาลกัมพูชาคือการพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากศักยภาพที่ยังมีอยู่ของเขื่อนไฟฟ้าที่สามารถส่งออกพลังงานได้มากกว่า 4,000 เมกะวัตต์ในระยะยาว.