xs
xsm
sm
md
lg

ฝีดาษ: มัจจุราชที่ยังเป็นภัย

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

การกำจัดฝีดาษในประเทศ Mali ต้องใช้เวลานาน 5 ปี เพื่อปลูกฝีให้ชาวบ้านทุกคนที่มีโอกาสเป็นโรค
ในปี 2335 ขณะกัปตัน George Vancouver แล่นเรือเลียบฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกา เขาสังเกตเห็นทะเลบริเวณนั้นคลาคล่ำด้วยฝูงปลาแซลมอน แต่บนฝั่งกลับไม่เห็นหมู่บ้านชาวอินเดียนแดงเลย และเมื่อ Vancouver ขึ้นฝั่ง เขาได้เห็นหมู่บ้านร้างที่มีเถาวัลย์ หยากไย่ปกคลุม บนพื้นดินมีกองกระดูกและกะโหลกศีรษะเกลื่อนกลาดทั้งๆ ที่เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ จึงน่าจะมีคนอาศัยอยู่นับพัน Vancouver จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า ชาวบ้านได้อพยพทิ้งถิ่นฐานไป แต่จะด้วยเหตุผลใดเขาไม่สามารถรู้ได้ การวิเคราะห์กระดูกที่ Vancouver เห็น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ ณ วันนี้รู้ว่า ชาวอินเดียนแดงในหมู่บ้านนั้นล้มตายด้วยโรคฝีดาษ

ฝีดาษเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งในโลกโบราณ ดังมีหลักฐานมากมายที่แสดงว่า เมื่อ 3,000 ปีก่อน ชาวอินเดียนับหมื่นต้องเสียชีวิตด้วยโรคร้ายชนิดนี้ เมื่อนายพล Cortez นำทหารบุกเข้าอาณาจักร Aztec ทหารที่เป็นโรคฝีดาษได้แพร่โรค ทำให้ชาวพื้นเมืองที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคเลยต้องล้มตายจำนวนนับแสน การสูญเสียผู้คนจำนวนมากนี้มีส่วนทำให้อาณาจักร Aztec ล่มสลายในเวลาต่อมา

ฝีดาษมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า variola major เพราะคำ variola ในภาษาละตินคือ varus ซึ่งแปลว่า ตุ่มตามตัว ทั้งนี้เพราะเมื่อ 200 ปีก่อน เวลาใครเป็นโรคชนิดนี้ 20-40% ของผู้ป่วยจะเสียชีวิต ส่วนคนที่รอดชีวิตจะมีแผลเป็นตามตัวและใบหน้าจนเต็มไปหมด

ตามปรกติเวลาเชื้อฝีดาษเข้าสู่คนภายในเวลา 12 วันแรกร่างกายจะไม่รู้สึกอะไรเลย จากนั้นคนๆ นั้นก็จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวและมีไข้สูงเหมือนเป็นไข้หวัด บางคนอาจรู้สึกปวดตามบริเวณหลังหรือศีรษะ บางคนอาเจียนและหายใจติดขัด จากนั้นอาการไข้ก็จะลด แต่อีก 2-3 วันต่อมา บริเวณใบหน้าและผิวหนังทั้งตัว โดยเฉพาะที่ปาก คอ จมูก หน้าอก และแขน จะมีจุดแดงๆ คล้ายตุ่มปรากฏเต็ม แล้วตุ่มจะขยายขนาดเพราะภายในมีหนอง ขณะเดียวกันอาการไข้ตัวร้อนก็จะหวนกลับมาอีก จากนั้นตุ่มก็จะแตก และส่งกลิ่นเหม็น แผลจะมีสะเก็ดเหลืองปกคลุม พอสะเก็ดหลุด ผิวหนังบริเวณนั้นจะเป็นแผลเป็น ในกรณีที่ร้ายแรง บริเวณจมูก เหงือก และตาผู้ป่วยจะมีเลือดไหล ในลำคอจะมีตุ่มเล็กๆ เต็มไปหมด ทำให้คนไข้ดื่มน้ำไม่ได้ และจะตายภายใน 10 วัน แต่ถ้าคนไข้ได้รับการรักษาทันเวลา ร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันฝีดาษไปจนตลอดชีวิต ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เขาจะไม่เป็นฝีดาษอีกเลย

ฝีดาษเป็นโรคที่ระบาดโดยการสัมผัสน้ำลายจากการไอจาม หรือน้ำมูกของผู้ป่วย เวลาฝีดาษระบาดทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็มีสิทธิ์เป็นฝีดาษได้ทั้งสิ้น

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ ในวัยหนุ่มก็เคยเป็นโรคฝีดาษ ดังนั้นเขาจึงต้องต่อสู้กับโรคร้ายและกองทัพอังกฤษไปพร้อมๆ กัน และเมื่อรู้ตัวว่าเป็นโรค เขาได้สั่งให้ทหารทุกคนในกองทัพเข้ารับการปลูกฝีทันที ซึ่งมีผลทำให้กองทัพรบชนะข้าศึกในที่สุด

ส่วน Thomas Jefferson ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐฯ ก็เคยรายงานว่า ทาสของเขาที่หลบหนีไปอยู่กับกองทัพอังกฤษ หลายคนป่วยเป็นโรคฝีดาษ ในปี 2306 กองทัพอังกฤษได้จงใจให้ผ้าห่มของคนที่เป็นฝีดาษแก่ชาวอินเดียนแดงที่ Fort Pitt นี่จึงเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ฝีดาษเป็นอาวุธสงคราม
ประเทศจีนในสมัยก่อน ผู้ป่วยด้วยโรคฝีดาษจะถูกกักบริเวณไม่ให้ออกนอกพื้นที่ แพทย์จะให้ผู้ป่วยสูดดมควันที่ได้จากการเผาสะเก็ดแผลของคนที่หายจากฝีดาษแล้ว ในตะวันออกกลางและแอฟริกา หมอผีจะเอาหนองสดๆ จากคนที่กำลังเป็นฝีดาษ มาทาตามผิวที่มีรอยขีดข่วนของคนที่ยังไม่เป็น แต่วิธีนี้ทำให้คนบางคนตายด้วยโรคฝีดาษในเวลาต่อมา

Edward Jenner คือแพทย์ชาวอังกฤษผู้คิดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษได้เป็นคนแรก เขาเกิดเมื่อปี 2292 ที่เมือง Berkeley ใน Gloucestershire ประเทศอังกฤษ การได้ไปฝึกงานกับศัลยแพทย์เมื่ออายุ 12 ปี ทำให้ Jenner มีความความต้องการอยากเป็นแพทย์ ด้วยเหตุนี้จึงได้เข้าเรียนแพทย์ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย St. Andrew และเรียนสำเร็จเป็นแพทย์เมื่ออายุ 43 ปี ในสมัยนั้นยุโรปกำลังถูกฝีดาษคุกคามหนัก 10-20% ของผู้ป่วยได้เสียชีวิต และ 10-15% ของผู้รอดชีวิตมีแผลเป็นเต็มตัว Jenner จึงคิดหาวิธีป้องกันฝีดาษ และได้ประสบความสำเร็จหลังจากที่พยายามนานถึง 16 ปี เพราะ Jenner ได้สังเกตเห็นว่า ตามมือและแขนของหญิงรีดนมวัวมักมีแผลที่เกิดจากฝีดาษวัว (cowpox) ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง และหญิงที่มีอาชีพนี้ไม่มีใครป่วยเป็นฝีดาษเลย เขาจึงคิดว่าฝีดาษวัวคงสามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ Jenner คิดจะทดสอบการคาดการณ์นี้ ดังนั้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2334 Jenner ได้เอาหนองที่แผลของ Sarah Nelmes อันเกิดจากฝีดาษวัว ไปป้ายบนแผลที่เกิดจากถูกมีดกรีดเล็กน้อยของ James Phipps ซึ่งเป็นเด็กอายุ 8 ปี Jenner พบว่า Phipps ล้มป่วยเป็นโรคฝีดาษวัว แต่ก็หายในเวลาไม่นาน อีกหลายสัปดาห์ต่อมา Jenner ได้เอาเชื้อฝีดาษป้ายบนแผลของ Phipps ผลปรากฏว่า Phipps ไม่แสดงอาการว่าเป็นฝีดาษเลย

วันที่ 14 พฤษภาคมจึงเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในประวัติของวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพราะในวันนั้นโลกมีวัคซีนใช้เป็นครั้งแรก และเป็นวันแรกที่มนุษย์รู้จักการปลูกฝี

หลังจากที่ได้ทดสอบวัคซีนจนมั่นใจแล้ว ในปี 2341 Jenner ได้เรียบเรียงตำราชื่อ An Inquiry into the Cause and Effects of the Variola Vaccinae แม้แพทย์ส่วนใหญ่จะไม่เชื่อในวิธีป้องกันโรคด้วยวิธีนี้ แต่เมื่อผู้คนจำนวนมากพากันมาหา Jenner เพื่อรับการปลูกฝี และคนเหล่านั้นไม่มีใครล้มป่วยเป็นฝีดาษ ผลงานของ Jenner จึงได้รับการยอมรับจากบรรดาแพทย์อื่นๆ รัฐบาลอังกฤษจึงได้จัดสรรงบประมาณให้ Jenner ผลิตวัคซีนสำหรับฉีดป้องกันฝีดาษให้คนอังกฤษทั่วประเทศ

การพบวัคซีนฝีดาษทำให้ชื่อเสียงของ Jenner แพร่กระจายไปทั่วโลก แม้แต่จักรพรรดิ Napoleon เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า Jenner ทูลขออภัยโทษแก่เชลยอังกฤษที่ฝรั่งเศสจับได้ในสงคราม พระองค์ก็ทรงปล่อยเชลยเหล่านั้นทันที

Jenner ซึ่งได้ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน พบวัคซีนที่สามารถป้องกันชีวิตของคนนับล้านให้ปลอดภัยจากโรคฝีดาษ โดยไม่ได้ร่ำรวยจากการอ้างลิขสิทธิ์ทางปัญญาใดๆ ได้ถึงแก่กรรมที่เมือง Berkeley สิริอายุ 73 ปี

หลังจากที่ Jenner พบวัคซีนฝีดาษแล้ว สถิติการระบาดและการเสียชีวิตของผู้ป่วยด้วยโรคฝีดาษก็ลดลงๆ เช่นในปี 2510 มีผู้ป่วยด้วยโรคฝีดาษใน 29 ประเทศ ในปี 2515 มีคนเป็นโรคฝีดาษใน 14 ประเทศ ในปี 2517-2518 ปากีสถาน อินเดีย และเนปาล ได้ประกาศเป็นประเทศที่ปลอดฝีดาษ 100% และเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2521 โลกได้รับรายงานว่ามีคนป่วยด้วยโรคฝีดาษเป็นคนสุดท้ายชื่อ Ali Maow Moalin เป็นพ่อครัวในเมือง Merca ในโซมาเลีย และได้รับการรักษาจนหาย
นับถึงวันนี้ก็ไม่มีใครป่วยเป็นโรคฝีดาษอีกเลย จนเราอาจกล่าวได้ว่าโลกไม่ถูกฝีดาษรบกวนในระยะเวลา 35 ปีที่ผ่านมา

แต่วงการแพทย์ก็ยังเก็บเชื้อฝีดาษไว้ที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Center for Diseases Control and Prevention) ที่เมืองแอตแลนตาในสหรัฐอเมริกา กับที่ Institute for Viral Preparations ที่มอสโกในรัสเซีย ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ได้รู้รหัสพันธุกรรม (genome) ของไวรัสฝีดาษแล้วอย่างสมบูรณ์ จนนิสิตปริญญาเอกที่เก่งๆ ก็สามารถสร้างไวรัสชนิดนี้ได้ถ้าต้องการ แต่สหรัฐฯ กับรัสเซียก็ยังไม่ได้กำจัดเชื้อฝีดาษสองชุดสุดท้ายนี้ให้หมดไปจากโลก เพราะนักวิทยาศาสตร์มีความเห็นแตกแยกเป็นสองพวก คือ พวกที่ต้องการกำจัดฝีดาษให้หมดสิ้น โดยให้เหตุผลว่าเพื่อไม่ให้โรคร้ายนี้ระบาดอีกต่อไป ส่วนฝ่ายที่ต้องการเก็บรักษาเชื้อก็ให้เหตุผลว่า การฆ่าฝีดาษตัวสุดท้ายจะเป็นการฆ่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นอย่างจงใจให้สูญพันธุ์ ซึ่งมนุษย์ไม่มีสิทธิ์ นอกจากนี้โลกยังมีโรคอีกหลายชนิดที่ร้ายพอๆ กับฝีดาษ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์อาจใช้เชื้อฝีดาษที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้ พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคร้ายเหล่านั้นได้ ดังนั้นถ้ามนุษย์ทำลายเชื้อจนสูญพันธุ์ เราก็จะไม่มีเชื้อโรคชนิดนี้ให้ศึกษาอีกเลย
ด้วยเหตุนี้ คำประกาศขององค์การอนามัยโลกที่เคยแถลงว่า จะกำจัดฝีดาษให้หมดโลกภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2542 จึงต้องเลื่อนออกไปอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายในวันที่ 11 กันยายน 2544 คณะผู้บริหารขององค์การอนามัยโลกได้จัดประชุมกันเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2545 และลงมติให้ทั้งอเมริกาและรัสเซียเก็บเชื้อฝีดาษให้นักวิทยาศาสตร์วิจัยต่อ เพราะเกรงว่าถ้าผู้ก่อการร้ายใช้ฝีดาษ (ที่สังเคราะห์ได้ในห้องทดลอง) เป็นอาวุธชีวภาพ มนุษยทั้งโลกจะเป็นอันตราย ดังนั้นการมีเชื้อฝีดาษไว้เพื่อพัฒนาวัคซีนป้องกัน จึงเป็นเรื่องจำเป็น
อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกได้ขอให้นักวิจัยศึกษาไวรัสฝีดาษให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อจะได้ข้อมูลมาทบทวนการตัดสินใจเก็บหรือทำลายฝีดาษในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

ในอดีตโลกเคยกลัวว่าผู้ก่อการร้ายจะใช้เชื้อ anthrax ในการทำสงครามชีวภาพ แต่ฝีดาษมีความรุนแรงและร้ายแรงยิ่งกว่า anthrax ดังนั้นรัฐบาลหลายประเทศจึงรู้สึกกระวนกระวายใจมากกว่า ถ้าผู้ก่อการร้ายคิดใช้ฝีดาษเป็นอาวุธสงครามบ้าง โดยลงมือก่อการร้ายในเมืองหลายเมืองพร้อมกัน จะเป็นไปได้ว่าภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ผู้คนนับแสน นับล้านจะป่วย

ดังนั้นปัญหาจึงมีว่า ใครผู้ใดควรได้รับการฉีดวัคซีน ใครควรได้รับการยกเว้นไม่ต้องฉีด ใครที่ยังมีภูมิคุ้มกันอยู่ และภูมิคุ้มกันโรคนี้ของใครบ้างบกพร่อง เพราะวัคซีนฝีดาษที่ใช้ปัจจุบันเป็นไวรัสที่มีชีวิต สถิติการฉีดวัคซีนได้แสดงให้เห็นว่า ในกรณีคนล้านคนที่ได้รับการฉีดวัคซีน จะมีผู้เสียชีวิต 1-2 คน และคนที่เสียชีวิตจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อต่อ ดังนั้นโรคฝีดาษก็จะระบาดอีกทั้งๆ ที่ผู้ก่อการร้ายมิได้ดำเนินการแต่อย่างใด และสำหรับผู้ที่สมควรได้รับการฉีดวัคซีนนั้น งานวิจัยก็ได้แสดงให้เห็นว่าคนที่ป่วยเป็นโรคผิวหนังอักเสบ (eczema) เอดส์ มะเร็ง หรือคนที่เปลี่ยนอวัยวะ มีสิทธิ์ติดฝีดาษก่อนคนอื่น ดังนั้นคนเหล่านี้ควรได้รับวัคซีนทันทีที่มีข่าวฝีดาษระบาด และถ้าฝีดาษระบาดอีก แพทย์ก็ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะสกัดการระบาดอย่างไร เพราะรายงานการวิจัยหลายชิ้นอ้างประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ตรงกัน เช่น จะฉีดวัคซีนให้แก่ญาติหรือคนใกล้ชิดที่เฝ้าดูผู้ป่วย หรือฉีดให้คนทั้งเมืองที่ผู้ป่วยอาศัยอยู่ เพราะทุกวันนี้เมืองมีผู้คนอยู่กันหนาแน่น ดังนั้นการติดต่อจึงทำให้การแพร่ระบาดเป็นไปได้ง่าย และเมื่อผู้คนเดินทางกันมาก ดังนั้นความรวดเร็วในการระบาดก็มากด้วย

แต่ก็มีข้อมูลอีกประเด็นที่คงจะลดความกังวลได้บ้าง นั่นคือ ในกรณีคนที่ได้รับการปลูกฝีป้องกันฝีดาษเมื่อ 60-75 ปีก่อน แพทย์ได้พบว่า 90% ของคนเหล่านี้ยังมีภูมิคุ้มกันอยู่ และภูมิคุ้มกันนี้ยังทรงสมรรถภาพดีพอๆ กับภูมิคุ้มกันของคนที่เพิ่งได้รับการฉีดวัคซีน นั่นแสดงว่าประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันมิได้สลายตามกาลเวลา ข้อมูลนี้ทำให้รู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้คนอีกเป็นจำนวนมาก คือ ฉีดเฉพาะคนที่อยู่รายรอบผู้ป่วยก็พอ แต่มีแพทย์อีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าข้อมูลที่ได้เป็นเพียงการคาดคะเน และไม่มีใครรู้ว่า ถ้าฝีดาษระบาดจริงๆ ระบบภูมิคุ้มกันที่คาดหวังจะต้านฝีดาษได้ดีดังที่คิดหรือไม่ ดังนั้นคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนนานแล้วก็สมควรได้รับการฉีดวัคซีนอีก

ส่วนคนที่ไม่เคยฉีดวัคซีนเลยก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ในอดีตเมื่อปี 2515 ได้มีการระบาดของฝีดาษในประเทศยูโกสลาเวีย ทำให้รัฐบาลต้องบังคับประชาชน 18 ล้านคนให้เข้ารับการฉีดวัคซีน และนั่นก็หมายความว่า ประเทศต้องการวัคซีนปริมาณมาก ตามปรกติวัคซีนจะมีอายุใช้งานไม่เกิน 1.5 ปี ดังนั้นการควบคุมคุณภาพของวัคซีนที่ใช้ฉีดก็เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเพราะนอกจากจะป้องกันฝีดาษไม่ได้แล้ว วัคซีนที่เสื่อมคุณภาพยังอาจทำให้คนไข้มีอาการสมองบวม ผิวเป็นผื่น หรือเป็นเนื้องอกได้

เมื่อเดือนธันวาคม 2548 ประธานาธิบดีบุชแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์ว่า จะฉีดวัคซีนฝีดาษให้ทหารอเมริกัน 5 แสนคน และคนอเมริกันอีก 5 แสนคน ทั้งที่นักวิชาการหลายคนแย้งว่า การฉีดวัคซีนจะไม่ให้ผลเท่าการลงทุนหาวิธีป้องกันการระบาดและหาวิธีรักษา ผลปรากฏว่าเมื่อสิ้นเดือนกันยายน 2549 มีคนอเมริกันเพียง 38,257 คนเท่านั้นที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโครงการปลูกฝี จึงต้องหยุดไปโดยปริยาย ทั้งนี้เพราะคนอเมริกันคิดว่าเขายังไม่ถูกใครข่มขู่ว่าจะถูกคุกคามด้วยฝีดาษ และยา cidofovir ที่แพทย์ในขณะนั้นก็สามารถรักษาฝีดาษได้ดีอย่างไม่มีปัญหา

แต่ถ้าฝีดาษที่ผู้ก่อการร้ายนำมาแพร่ระบาด เป็นฝีดาษที่ได้รับการตัดต่อพันธุกรรมล่ะ การก่อการร้ายโดยการใช้อาวุธชีวภาพก็เป็นเรื่องจริง

สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.
กำลังโหลดความคิดเห็น