ปี่กลองการเมืองเริ่มดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อเวลาเดินเข้าใกล้จุดเลือกตั้ง ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขีดเส้นว่าจะทำการยุบสภาในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม
พรรคประชาธิปัตย์เตรียมความพร้อมเรื่องผู้สมัคร กำหนดนโยบายหาเสียงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ใช้กลไกอำนาจรัฐ อัดโครงการประชานิยม ลด แลก แจกแหลก ช่วงโค้งสุดท้ายของอายุรัฐบาล กอบโกยคะแนนเข้ากระเป๋า ควบคู่ไปกับการเหยียบหัว โยนขี้ให้พรรคการเมืองค่ายอื่นๆ ร่วมรัฐบาล เพื่อตัดแต้ม เล่นบทหล่อคนเดียว
ฟากพรรคเพื่อไทย จัดทัพสู้ศึกเลือกตั้งมาตั้งแต่ไก่โห่ เป็นฝ่ายค้านโอกาสกลับมามีอำนาจก็ต้องผ่านสนามเลือกตั้งเท่านั้น ฉะนั้นจึงมีความพร้อมมากที่สุด เหลือเพียงการตัดต่อพันธุกรรม นำหัวขบวนแคนดิเดตนายกฯ มาชูโรงหาเสียง
จนถึงบัดนี้ยังอุบไต๋ไม่เปิดเผย รอจนวินาทีสุดท้ายเพราะเกรงว่าจะถูกรุมยำจนช้ำไปเสียก่อน ทั้งจากคนภายใน และภายนอกพรรค!!
เมื่อมองไปที่พรรคการเมืองขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลยามนี้ เกิดความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ทั้งการจับมือเป็นพันธมิตรกัน หรือแม้แต่จะควบรวมพรรค ภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนา ประกาศเป็นสัญญาประชาคมว่าจะเป็นพันธมิตรทางการเมือง จะทำงานร่วมกันภายหลังการเลือกตั้ง แบบไปไหนไปด้วยกัน
มีความคาดหวังถึงการเป็นพรรคทางเลือกที่ 3 ต่อสู้กับ 2 ค่ายใหญ่ประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย
ในขณะที่พรรครวมชาติพัฒนา กับพรรคเพื่อแผ่นดิน จะทำการควบรวมพรรค ปฏิรูปพรรคเล็กเพิ่มไซส์เป็นขนาดกลาง วางฐานที่มั่นไว้ที่จังหวัดนครราชสีมา ที่มีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ กับ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี จาก 2 ค่ายเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่
ความเคลื่อนไหวของพรรคขนาดเล็ก ขนาดกลาง บอกนัยทางการเมืองว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนจะตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองขนาดใหญ่ มากำหนดทิศทางการเดินของประเทศ
เบื่อเต็มทีกับรัฐบาลผสมที่เป็นอยู่ ณ ยามนี้ เพราะต้องเสียเวลาบริหารจัดการเกมการเมือง จนไม่เหลือเวลาไปบริหารประเทศ
ซ้ำยังแตกคอ แตกแถว แยกย้ายกันไปหาผลประโยชน์ มากกว่าจะช่วยชาวบ้าน
นักการเมืองจมูกไวย่อมรู้ทิศทางลมดี ดังนั้นจึงเสาะหาหนทางรีเทิร์นกลับมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยการเกาะเกี่ยวกันไว้ สร้างราคา สร้างฐานเก้าอี้รอให้พรรคใหญ่มาจีบ
ดีกว่าไปตายเดี่ยวเหลือที่นั่ง ส.ส.กะจ้อยร่อยจนไม่มีจุดดึงดูดพอมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
เสือกระดาษ
พรรคประชาธิปัตย์เตรียมความพร้อมเรื่องผู้สมัคร กำหนดนโยบายหาเสียงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ใช้กลไกอำนาจรัฐ อัดโครงการประชานิยม ลด แลก แจกแหลก ช่วงโค้งสุดท้ายของอายุรัฐบาล กอบโกยคะแนนเข้ากระเป๋า ควบคู่ไปกับการเหยียบหัว โยนขี้ให้พรรคการเมืองค่ายอื่นๆ ร่วมรัฐบาล เพื่อตัดแต้ม เล่นบทหล่อคนเดียว
ฟากพรรคเพื่อไทย จัดทัพสู้ศึกเลือกตั้งมาตั้งแต่ไก่โห่ เป็นฝ่ายค้านโอกาสกลับมามีอำนาจก็ต้องผ่านสนามเลือกตั้งเท่านั้น ฉะนั้นจึงมีความพร้อมมากที่สุด เหลือเพียงการตัดต่อพันธุกรรม นำหัวขบวนแคนดิเดตนายกฯ มาชูโรงหาเสียง
จนถึงบัดนี้ยังอุบไต๋ไม่เปิดเผย รอจนวินาทีสุดท้ายเพราะเกรงว่าจะถูกรุมยำจนช้ำไปเสียก่อน ทั้งจากคนภายใน และภายนอกพรรค!!
เมื่อมองไปที่พรรคการเมืองขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลยามนี้ เกิดความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ทั้งการจับมือเป็นพันธมิตรกัน หรือแม้แต่จะควบรวมพรรค ภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนา ประกาศเป็นสัญญาประชาคมว่าจะเป็นพันธมิตรทางการเมือง จะทำงานร่วมกันภายหลังการเลือกตั้ง แบบไปไหนไปด้วยกัน
มีความคาดหวังถึงการเป็นพรรคทางเลือกที่ 3 ต่อสู้กับ 2 ค่ายใหญ่ประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย
ในขณะที่พรรครวมชาติพัฒนา กับพรรคเพื่อแผ่นดิน จะทำการควบรวมพรรค ปฏิรูปพรรคเล็กเพิ่มไซส์เป็นขนาดกลาง วางฐานที่มั่นไว้ที่จังหวัดนครราชสีมา ที่มีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ กับ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี จาก 2 ค่ายเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่
ความเคลื่อนไหวของพรรคขนาดเล็ก ขนาดกลาง บอกนัยทางการเมืองว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนจะตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองขนาดใหญ่ มากำหนดทิศทางการเดินของประเทศ
เบื่อเต็มทีกับรัฐบาลผสมที่เป็นอยู่ ณ ยามนี้ เพราะต้องเสียเวลาบริหารจัดการเกมการเมือง จนไม่เหลือเวลาไปบริหารประเทศ
ซ้ำยังแตกคอ แตกแถว แยกย้ายกันไปหาผลประโยชน์ มากกว่าจะช่วยชาวบ้าน
นักการเมืองจมูกไวย่อมรู้ทิศทางลมดี ดังนั้นจึงเสาะหาหนทางรีเทิร์นกลับมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยการเกาะเกี่ยวกันไว้ สร้างราคา สร้างฐานเก้าอี้รอให้พรรคใหญ่มาจีบ
ดีกว่าไปตายเดี่ยวเหลือที่นั่ง ส.ส.กะจ้อยร่อยจนไม่มีจุดดึงดูดพอมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
เสือกระดาษ