สมเด็จพระเทพฯ เสด็จทรงเปิดนิทรรศการภายในงาน NAC 2010 นำเสนอโครงการพระราชดำริเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนไทย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการประชุมประจำปี 2553 ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หรือ NAC 2010 ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 มี.ค.53 เวลา 17.30 น. โดยมี ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พร้อมคณะเฝ้ารับเสด็จ
พร้อมกันนี้ทรงเปิดและทอดพระเนตนิทรรศการ "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย" ซึ่งนำเสนอเกี่ยวกับโครงการในพระราชดำริเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรไทยโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนาเรื่องข้าวตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น การพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวทนแล้ง การถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตเมล็ดพันธุ์ การผลิตและแปรรูปที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การควบคุมคุณภาพ การพื้นฟูพื้นดินเค็ม โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาของโรงเรียนในชนบทและเพื่อคนพิการ เป็นต้น
อีกทั้ง ทรงทำพิธีเปิดระบบ WiMAX ผ่านการเชื่อมสัญญาณวิดีโอ (video link) ไปที่ศาลาประชาคม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาโดยนักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และได้ทรงทอดพระเนตรนิทรรศการความก้าวหน้าทางงานวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช.
สำหรับงาน NAC 2010 จัดขึ้นในหัวข้อ "วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสังคมและโลก" ระหว่างวันที่ 29 -31 มี.ค.53 ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยภายในงานมีการสัมมนาทางวิชาการและการนำเสนอความกาวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม ความเป็นอยู่ของผู้คนและที่มีผลช่วยลดภาวะโลกร้อน พร้อมทั้งวิทยากรรับเชิญจากต่างประเทศ อาทิ ศ.อีค อาร์ เวเบอร์ (Prof.Eicke R.Weber) จากสถาบันระบบพลังงานแสงอาทิตย์เฟราน์โฮเฟอร์ (Fraunhofer Institute for Solar Energy Systems: ISE) เยอรมนี ดร.ฮัก-มิน คิม (Dr.Hak-Min Kim) ประธานอุทยานเทคโนโลยีชังนัมเทคโนปาร์ค (Chungnum Techno Park) เกาหลีใต้ ซึ่งจะบรรยายเกี่ยวกับบทบาทของอุทยานเทคโนโลยีต่อนโยบายเพื่อสิ่งแวดล้อมของเกาหลี
นอกจากนี้ภายในงานยังได้นำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ ระบบสื่อสารระหว่างรถกับรถ (Vehicle to Vehicle Communication Car Talk) เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โดยมีกล่องดำเป็นตัวเชื่อมต่อสัญญาณให้รถสามารถสื่อสารถึงกันได้ผ่านสัญญาณคลื่นวิทยุ และในอนาคตจะสามารถส่งต่อข้อมูลการจราจร การเกิดอุบัตเหตุ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อแจ้งเหตุบนถนน หรือระบบจักรยานไฟฟ้าครบวงจรที่เพิ่มเทคโนโลยีการดึงพลังงานกลับคืนสู่แบตเตอรีในขณะเบรก และปรับเป็นจักรยานออกกำลังกายได้ รวมถึงเปิดให้เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการและหน่วยบริการของ สวทช. เป็นต้น
ด้าน ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์เมื่อ 22.00 น.ภายหลังจากตามเสด็จสมเด็จพระเทพฯ ว่า งาน NAC จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเป็นเวทีเผยแพร่ความรู้และผลงานวิจัย และปีนี้มีนิทรรศการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย และได้จัดเรื่อง "ข้าว" ขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากทรงสนพระทัยและทรงทุ่มเทให้กับงานด้านข้าวมาก ด้านนักวิจัยก็สนองพระราชประสงค์และเน้นงานวิจัยด้านนี้เป็นพิเศษ พร้อมกัันนี้ได้เชิญกรมการข้าวและนักวิจัยข้าวจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้าร่วมในงาน
“ทรงทอดพระเนตรนิทรรศการ 2 ชั่วโมงกว่า ทรงสนพระทัยขาเทียมสำหรับผู้พิการ ทั้งนี้ทรงให้พระเมตตาแก่ผู้พิการขาดมาเป็นเวลานาน และกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เองได้สนองงานนี้มา 10-20 ปีแล้ว โดยได้ร่วมกับหมอพัฒนาขาเทียมมาเรื่อยๆ จนได้ขาเทียมที่ใช้เดินได้เหมือนปกติ ไม่หนักและถูกกว่านำเข้าจากต่างประเทศ" คุณหญิงกัลยากล่าว
นอกจากนี้ยังทรงให้ความสนพระทัยนักเรียนทุนโครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซี (DESY Summer Student Program) ซึ่งปีนี้ได้ตัวแทนนักเรียนไทย 5-6 คนไปร่วมในงานประชุมของผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ ที่เมืองลินเดา เยอรมนี ซึ่งนักเรียนในโครงการจะได้เข้าฟังบรรยายจากผู้ได้รับรางวัลในสาขาที่สนใจ และสมเด็จพระเทพฯ จะเสด็จในงานนี้ด้วย
“พระองค์ตรัสกับนักเรียนว่าเนื่องจากโครงการนี้เวลาสั้น ดังนั้นนักเรียนต้องฉวยโอกาสและเรียนรู้ให้เร็วที่สุด และทรงมีพระราชประสงค์อยากให้เพิ่มทุนนี้ให้มากขึ้น และทุนนี้เป็นทุนทีพระองค์ทรงขอมาให้นักเรียน" ดร.คุณหญิงกัลยากล่าวและบอกว่าการได้ตามเสด็จทำให้ได้เรียนรู้อะไรอีกมาก ได้ทราบว่ามีงานวิจัยที่่น่าสนใจ
ตัวอย่างงานวิจัยที ดร.คุณหญิงกัลยาสนใจคืองานวิจัยเพื่อช่วยแก้ปัญหาในภาคอีสานเรื่องดินเค็ม ทำให้ปลูกข้าวไม่ได้ โดยปลูกต้นไม้ที่ช่วยดึงน้ำเค็ม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชาวอีสาน ซึ่งมีชาวบ้านนำที่ดินมาร่วมทดลองในงานวิจัยนี้ประมาณ 1,000 ไร่
