xs
xsm
sm
md
lg

ศิลปวัตถุที่ถูกปล้น (1)

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

ภาพวาดโดย Edourd Manet ที่ทหารนาซีซุกซ่อนในเหมืองเกลือที่ Merkers ในเยอรมนี
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่าเมื่อก่อนพุทธศักราช 43 ปี กษัตริย์ Nebuchadnezzar แห่งอาณาจักร Babylon ทรงกรีธาทัพเข้ายึดกรุง Jerusalem และพระองค์ก็เช่นเดียวกับแม่ทัพโรมัน ไวกิ้ง และมองโกล คือเมื่อชนะข้าศึก ก็จะปล้นและยึดสมบัติ วัตถุมีค่า เพื่อนำกลับไปให้ประชาชนเผ่า Chaldaean ของพระองค์ชื่นชม พฤติกรรมเช่นนี้จึงได้มีมานานตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงทุกวันนี้ ดังในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกก็ได้ประจักษ์อีกว่ากองทัพนาซีได้บุกปล้นพิพิธภัณฑ์ 427 แห่ง ทำลายโบสถ์รัสเซีย 1,676 แห่ง ปล้นสมบัติล้ำค่าในโบสถ์คาทอลิก 237 แห่ง และโบสถ์ยิว 532 แห่ง ที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และอิตาลี

นอกจากศาสนสถานเหล่านี้แล้ว บ้านของชาวยิวที่ร่ำรวย เช่น กรณีบ้านของตระกูล Rothschild และ Koenig ทหารนาซีของ Hitler ก็ได้ยึดและปล้นเอาศิลปวัตถุไปมากมาย ซึ่งวัตถุเหล่านั้นได้แก่ ภาพวาด เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ ฯลฯ โดยเฉพาะภาพวาดโดยจิตรกรชาวฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นภาพที่ Hitler ผู้สอบวิชาศิลปะตกในสมัยเป็นนักเรียนโปรดปรานมากที่สุด เพราะ Hitler ต้องการนำภาพเหล่านี้ไปติดตั้งที่เมือง Linz ในประเทศ Austria ซึ่งเป็นเมืองที่ Hitler ใช้ชีวิตในวัยเยาว์ ดังนั้นเมื่อ Hitler ยึด Paris ได้ เขาจึงรู้สึกเสมือนเด็กที่เข้าไปในร้านขายของเล่นยามเจ้าของร้านไม่อยู่

แม้แต่จักรพรรดิ Napoleon เมื่อทรงพิชิตประเทศใดได้ ก็ทรงกวาดเก็บสมบัติล้ำค่าต่างๆ ไปเช่นกัน แต่ข้อแตกต่างระหว่าง Hitler กับ Napoleon คือ Napoleon ทรงถนอมสมบัติทุกชิ้นที่ยึดไป ส่วนกองทัพนาซีของ Hitler ไม่ซาบซึ้งกับภาพของ Rembrandt, Van der Weyden, Michelangelo, Fragonard, Boucher และ Jan Vermeer มากเลย

ดังนั้นก่อนถูกนาซีบุกยึดเล็กน้อย พนักงานที่ดูแล Louvre ในปารีส, พิพิธภัณฑ์ Rijk ใน Amsterdam, พิพิธภัณฑ์ Brussel พิพิธภัณฑ์ Uffizi แห่งเมือง Florence ในอิตาลี และพิพิธภัณฑ์ Naples ต่างก็นำภาพสำคัญๆ เช่น Mona Lisa ของ Da Vinci และ Primavera ของ Botticelli ไปซุกซ่อนตามที่ต่างๆ ส่วนภาพอื่นๆ ที่ขนหนีไม่ทัน ก็ถูกทหารนาซียึดขึ้นรถสิบล้อขนไปเก็บซ่อนตามเหมืองแร่หรือเหมืองเกลือ เช่น เหมืองที่ Altaussee และ Bernterode เป็นต้น ทั้งนี้ เพราะทหารนาซีคิดว่าลึกลงไปในเหมือง ภาพรูปปั้นและเครื่องประดับ ฯลฯ จะปลอดภัยจากการถูกระเบิดถล่ม และกระสุนปืนยิง

ครั้นเมื่อเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารนาซีบางนายได้ทำลายภาพบางภาพไป แต่หลายภาพยังปลอดภัย ถึงกระนั้นบางภาพก็มีรอยขีดข่วน ทำให้ต้องมีการบูรณะใหม่ เช่น ภาพของ Henri Matisse ที่ชื่อ “Landscape, the Pink Wall” ซึ่งมีรายงานว่าได้สาบสูญไปในช่วงที่เกิดสงคราม แต่ต่อมามีการพบภาพนี้ห่อด้วยกระดาษ ในบ้านของทหารนาซีชื่อ Kurt Gerstein ผู้ได้ฆ่าตัวตาย เพราะกลัวถูกทหารสัมพันธมิตรสังหารในฐานะเป็นคนฆ่าชาวยิวด้วยแก๊สพิษ

สำหรับภาพของ Delacroix ชื่อ “Portrait of a Young Man” ก็เช่นกัน เมื่อทหารนาซีผู้ใกล้ตายนายหนึ่งได้สารภาพต่อบาทหลวงว่า ตนมีภาพของ Delacroix ในครอบครอง บาทหลวงจึงแจ้งเจ้าหน้าที่สถานทูตฝรั่งเศสที่ Berlin ภาพดังกล่าวจึงถูกนำกลับไปติดตั้งที่ Louvre ในปี 2539 อีกครั้งหนึ่ง

ณ วันนี้ ภาพวาด และศิลปวัตถุต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์กำลังมีการตรวจตราว่าเจ้าของแท้จริงคือใคร และจะมีการคืนให้เจ้าของภายใต้เงื่อนไขใดหรือไม่ เช่น ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม – 25 เมษายน ศกนี้ ที่ Kunsthistorisches Museum ในกรุง Vienna ประเทศออสเตรีย ได้มีการแสดงผลงานของ Jan Vermeer ผู้เป็นจิตรกรชาว Flemish ที่มีชื่อเสียง ซึ่งผลงานเป็นภาพที่มีค่ามากที่สุดของพิพิธภัณฑ์ เพราะรัฐบาลออสเตรียกำลังมีปัญหาว่าสมควรคืนภาพ ชื่อ “The Art of Painting” ของ Vermeer ให้แก่เจ้าของที่แท้จริงหรือไม่

Jan Vermeer เกิดเมื่อปี 2175 (ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง) ที่ Delft ในเนเธอร์แลนด์ บิดาเป็นเจ้าของโรงแรมที่ทำการค้างานศิลปะ ซึ่งโลกไม่รู้ชีวประวัติของ Vermeer มาก จะรู้ก็เพียงว่า เป็นศิษย์ของ Carel Fabritius เมื่ออายุ 21 ปี Vermeer ได้เข้าพิธีสมรสกับ Catharina Bolems และมีลูก 11 คน การมีครอบครัวใหญ่ ทำให้ Vermeer ต้องการเงินตลอดเวลา ดังนั้นจึงมีหนี้สินมากมาย แม้ตอนตายในปี 2218 ขณะอายุ 43 ปี หนี้ก็ยังไม่หมด มิหนำซ้ำลูก 8 คน ขณะนั้นก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วย

ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ Vermeer ไม่ได้รับการชื่นชม และยกย่องมาก แต่เมื่อถึงวันนี้ เขาคือจิตรกรชาว Dutch ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีผลงานภาพ 34 ชิ้น ตามปกติ Vermeer เป็นคนไม่ชอบเซ็นชื่อในภาพ ดังนั้นภาพที่ Vermeer วาดบางภาพจึงเคยถูกคิดว่าเป็นงานของจิตรกรอื่น

โดยทั่วไป Vermeer ชอบวาดภาพผู้หญิง ในระยะเริ่มต้นเขามักวาดภาพในตำนานและในคัมภีร์ไบเบิล ในเวลาต่อมา จึงวาดภาพชีวิตของชาวบ้านที่ใช้ชีวิตที่สงบเงียบในบ้าน เช่น ภาพสาวใช้รินน้ำนม สตรีกำลังอ่านจดหมาย ผู้หญิงกำลังลองสวมสร้อยคอมุก ผู้หญิงกำลังเล่นดนตรี ถักลูกไม้ และชั่งทอง เป็นต้น จุดเด่นของผลงานคือ อากัปกิริยาของคนที่ Vermeer วาดทุกคนจะดื่มด่ำกับงานที่กำลังทำอย่างไม่สนใจคนอื่น Vermeer มักให้แสงเข้าทางซ้ายของภาพและวาดให้ภาพมีรายละเอียดของคนและเฟอร์นิเจอร์เดิมๆ คือ ถึงภาพจะเป็นคนละภาพแต่ผู้หญิงก็คนเดิม เหยือกน้ำก็ใบเดิม เก้าอี้ตัวเดิม โต๊ะตัวเดิม การที่ภาพ “The Art of Painting” มีพื้นหินอ่อน และกำแพงสีขาว ช่วยขับให้โฟกัสของภาพเด่นขึ้น อนึ่งสีโปรดของ Vermeer คือสีเหลือง และน้ำเงิน ในภาพวาดของ Vermeer จึงบอกชีวิตของชาว Delft ในสมัยนั้นว่า อยู่บ้านลักษณะใด แต่งตัวอย่างไร และใช้ชีวิตอย่างไร

(อ่านต่อวันศุกร์หน้า)

สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.
ภาพวาดโดย Rubens ที่ซุกซ่อนที่เหมืองทองแดงใกล้เมือง Siegen ในเยอรมนี
พระแสงดาบของ Frederick มหาราชที่นาซีซุกซ่อนใกล้ Bernterode
หินอ่อน Elgin ที่กรีซกำลังขอคืนจากอังกฤษ
กำลังโหลดความคิดเห็น