"ดร.สุเมธ" ชี้ไทยอยากเป็นเสือ แต่ลืมตัวว่าเป็นควาย วอนคนไทยอย่าทิ้งนา เผยนับวันข้าวจะยิ่งเป็นสิ่งมีค่า ขาดแคลนน้ำมันเราไม่ตาย แต่ถ้าไม่มีอาหาร เราอยู่ไม่ได้แน่ ด้านรองนายกฯ "กอปร์ศักดิ์" มั่นใจนโยบายรับประกันรายได้เกษตรกร แก้ปัญหาวิกฤตข้าวและชาวนาไทยได้แน่
"ประเทศไหนกุมอาหาร ประเทศนั้นกุมอำนาจโลก" คำกล่าวของนักวิชาการต่างชาติที่กล่าวไว้ เมื่อมาเยือนประเทศไทยไม่นานมานี้ ที่เพิ่งค้นพบสัจธรรมข้อสำคัญว่าอาหารคือของจริง หลังเกิดวิฤตอาหารและพลังงานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่ง ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ยกมากล่าวอ้างในระหว่างบรรยายพิเศษเรื่อง "ความมั่นคงของอาชีพชาวนาไทย" ในการประชุมวิชาการข้าวไทย 2552 เรื่อง "วิกฤตข้าวไทย : ใครจะแก้" ที่มูลนิธิข้าวไทยฯ และหน่วยงานพันธมิตรร่วมกันจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา
ดร.สุเมธ กล่าวว่าในอนาคตข้าวจะยิ่งมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และจะกลายเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เพราะจากปัญหาวิกฤตพลังงาน และพืชอาหารบางส่วนสามารถใช้เป็นพลังงานทดแทนได้ ทำให้มีการเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกอาหารส่วนหนึ่งไปปลูกพืชพลังงาน เมื่อพื้นที่เพาะปลูกอาหารลดน้อยลง พืชอาหารก็ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น และนับวันพลเมืองโลกจะยิ่งมากขึ้นๆ
ทุกคนต้องกินอาหาร ถ้าไม่มีน้ำมัน เราก็ไม่ตาย แต่หากไม่มีน้ำและอาหาร มนุษย์เราจะต้องตายอย่างแน่นอน ฉะนั้นคนไทยอย่าได้ห่วง และอย่าทิ้งนาเด็ดขาด เพราะแม้แต่เศรษฐีน้ำมันยังต้องมาซื้อข้าวเรากิน
ที่สำคัญข้าวไทยมีคุณภาพดีที่สุดในโลก ต่างชาติจึงพยายามเข้ามาครอบครองพื้นที่ทำการเกษตรในประเทศไทย และหาวิธีแข่งขันโดยพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีลักษณะใกล้เคียงกับข้าวไทยมากที่สุด เช่น ข้าวแจ๊ซแมน (Jazzman) ของสหรัฐฯ ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ แต่คุณภาพยังสู้ข้าวหอมมะลิของไทยไม่ได้ ยังห่างไกลอยู่มาก
แต่ไทยก็ไม่ควรนิ่งเฉย จะขายข้าวเหมือนอย่างเดิมเพียงอย่างเดียวต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะวิถีชีวิตมนุษย์เปลี่ยนไปจากเดิม ควรพัฒนาข้าวของไทยให้ก้าวทันกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ใช้นวัตกรรมเพิ่มคุณค่าและมูลค่าข้าวไทยให้แข่งขันกับต่างชาติได้
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใส่พระทัยทุ่มเทมาตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ที่ทรงครองราชย์ ในการที่ทรงพยายามอนุรักษ์ ดูแลเอาใจใส่ทรัพยากรพื้นฐานให้พร้อมสำหรับการเกษตรในประเทศไทย โดยเฉพาะน้ำที่เป็นของคู่กันกับข้าว ประเทศไทยมีน้ำมากมาย แต่ยังบริหารจัดการไม่ดีพอ จึงมีปัญหาขาดแคลนน้ำอยู่เสมอ"
"ส่วนพันธุ์ข้าวของไทยก็มีมากมาย แม้จะพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ๆ ได้เยอะแยะ แต่ต้องไม่ลืมพันธุ์เก่าที่มีอยู่แต่เดิม ทั้งพันธุ์ข้าวพื้นเมืองและพันธุ์ข้าวป่า ซึ่งยังไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร เพราะเหตุนี้จึงทำให้เราสูญเสียสมบัติของชาติไปแล้วมากมาย เพราะมัวแต่ไปสนใจตลาดพิเศษหรือนิชมาร์เก็ต (Niche Market)" ดร.สุเมธ กล่าว
ดร.สุเมธ กล่าวต่ออีกว่า คนไทยชอบเอาอย่างคนอื่น ผู้นำประเทศไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม ชอบอยากเป็นเหมือนคนอื่น เห็นเขาเป็นนิช ก็อยากเป็นนิชบ้าง หรือที่เคยบอกว่าอจะเป็นเสือตัวที่ 5 เมื่อ 25 ปีก่อนนั้น
"ถ้าจิตสำนึกอันแท้จริงของเราในวันนั้นยึดถือด้วยสติปัญญาและเหลียวมองดูตัวเอง เราจะพบว่า ธรรมชาติของเราไม่ใช่เสือ แท้ที่จริงเราเป็นควาย ถ้าเราดำรงความเป็นควายตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้เราคงรวยไม่รู้เรื่องแล้ว แต่เพราะเราหลงลืมตัวเองว่าเป็นควาย เราเลยนอนตายแหงแก๋เมื่อ 12 ปีที่แล้ว" ประธานมูลนิธิข้าวไทยฯ กล่าวทิ้งท้าย
ด้านนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในระหว่างการปาฐกถาพิเศษเรื่อง "นโยบายรัฐในการพัฒนาชาวนาและข้าวไทย" ในงานเดียวกันว่า การกำหนดนโยบายเรื่องที่เกี่ยวกับข้าว ชาวนา และเกษตรกร รัฐบาลได้มองถึงความอยู่รอด เศรษฐกิจ และรายได้ของเกษตรกรเป็นหลัก ซึ่งในปีที่ผ่านมาราคาข้าวพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ลูกหลานชาวนาในต่างถิ่นหลายคนรีบกลับบ้านไปทำนา ซึ่งที่จริงแล้วก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้อยากทิ้งนาไป แต่เป็นเพราะเขายังมองไม่เห็นอนาคตของชาวนา
"นโยบายของรัฐบาล คือสร้างอนาคตให้ชาวนาไทย โดยการประกันรายได้ให้แก่เกษตรกร" นายกอร์ปศักดิ์ เผยและเชื่อมั่นว่านโยบายนี้จะเป็นหลักประกันอาชีพเกษตรกรไม่ให้ขาดทุนได้ ทั้งยังมั่นใจว่าจะเป็นนโยบายที่ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนเข้ามาบริหารประเทศหลังจากนี้จะต้องดำเนินการสานต่อไป และเมื่อสร้างความมั่นคงให้กับชาวนาได้แล้ว มหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานวิจัยต่างๆ ก็จะมีงานหนักมากขึ้นในการให้บริการแก่ประชาชน ชาวนาก็อยากให้ลูกหลานประกอพอาชีพทำนากันมากขึ้น
ในขณะที่โครงการรับจำนำราคาแพงที่มีการดำเนินการกันมาเมื่อ 3-4 ปีก่อน ทำให้รัฐกลายเป็นผู้ค้าซะเอง เพราะรัฐเป็นผู้ซื้อผลผลิตจากเกษตรกรมาในราคาแพง แต่ไม่ได้รับซื้อจากเกษตรกรทุกราย ทำให้มีผู้ได้รับผลประโยชน์แค่เพียงบางกลุ่ม เพราะรัฐจะนำผลผลิตเหล่านั้นออกมาขายในราคาถูกกว่า ทำให้พ่อค้าคนกลางซื้อผลผลิตจากรัฐ แทนที่จะซื้อจากเกษตรกร เมื่อเกษตรกรขายของไม่ได้ ผลผลิตก็ราคาตก
อย่างไรก็ตาม โครงการประกันรายได้นั้นสนับสนุนเฉพาะพันธุ์ข้าวที่ได้รับการรับรองจากกรมการข้าวเท่านั้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวพันธุ์เหล่านั้นซึ่งขายได้ราคาดีกว่า
นอกจากนั้น รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวต่อว่า การจะพัฒนาข้าวไทยให้มีคุณภาพดี ขายได้ราคาแพง ต้องรู้จักการตลาดด้วยว่าตลาดมีความต้องการหรือไม่ ให้การผลิตและการตลาดสอดคล้องกัน ไปด้วยกันได้ โดยศึกษาจากคู่แข่งว่าผลิตอะไร การตลาดเป็นแบบไหน หากเราต้องการส่วนแบ่งทางการตลาด จะต้องทำยังไงบ้าง ซึ่งก็จะย้อนกลับมาสู่การกำหนดนโยบายของรัฐบาล โดยเสนอแนะให้มีการทำงานร่วมกันระหว่างกรมการข้าว มหาวิทยาลัย กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานต่างๆ เชื่อว่าการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ของข้าวไทย จะประสบความสำเร็จได้.