นักวิจัยสเต็มเซลล์ของมะกัน ฝันใกล้เป็นจริงแล้ว หลังลุ้นให้รัฐหนุนวิจัยมานาน ล่าสุดที่ปรึกษาของโอบามา แย้มกับสื่อแล้วว่า นายโอบามาใกล้จะมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งแบนงานวิจัยสเต็มเซลล์ตัวอ่อนของประธานาธิบดีคนก่อนในเร็วๆ นี้
เดวิด แอกเซลรอด (David Axelrod) ที่ปรึกษาอาวุโสของนายบารัค โอบามา (Barack Obama) ประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยกับสื่อมวลชนบางรายของสหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้ว่า นายโอบามาอาจมีคำสั่งยกเลิกการห้ามวิจัยสเต็มเซลล์ตัวอ่อนมนุษย์ในเร็วๆ นี้
"ผมคิดว่าเราจะต้องทำอะไรสักอย่าง เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเร็ว ประธานาธิบดีก็กำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่เพื่อให้เป็นไปอย่างเหมาะสม" แอกเซลรอด กล่าวกับ ฟอกซ์ นิวส์ เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา ตามที่รอยเตอร์รายงาน
เมื่อปี 2544 จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสมัยนั้น ประกาศห้ามไม่ให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ตัวอ่อนมนุษย์ในสหรัฐฯ โดยไม่ให้รัฐบาลสนับสนุนทุนแก่งานวิจัยเหล่านั้น ยกเว้นเฉพาะสเต็มเซลล์ตัวอ่อนที่ได้จากเซลล์ไลน์ที่มีอยู่แล้วก่อนหน้านั้น ส่งผลให้การวิจัยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ตัวอ่อนมนุษย์ในสหรัฐฯ หยุดชะงักมานานถึง 8 ปี
การออกกฏดังกล่าวนั้น เป็นการแสดงท่าทีของบุช ต่อผู้สนับสนุนที่เป็นคริสเตียนเคร่งศาสนา ซึ่งพวกเขามองว่าการนำสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์มาใช้ศึกษาวิจัย เท่ากับเป็นการทำลายตัวอ่อนนั้นซึ่งนับเป็นชีวิตหนึ่งเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนเป็นเซลล์ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่มีศักยภาพมากที่สุดในการพัฒนาต่อไปเป็นเซลล์หรือเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย และหากศึกษาวิจัยอย่างลึกซึ้ง จะนำไปสู่การค้นพบวิธีรักษาโรคหลายชนิดที่ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษาได้ เช่น โรคหัวใจ พากินสันส์ เบาหวาน และการบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง
ทั้งนี้ โอบามาเคยสัญญาไว้ในระหว่างหาเสียงว่า จะยกเลิกคำสั่งห้ามวิจัยสเต็มเซลล์ตัวอ่อนของบุช และจะนำพาวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในที่ที่เหมาะสมอีกครั้ง โดยเมื่อเดือนที่แล้วองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ (U.S. Food and Drug Administration) ก็ได้อนุญาตเอกชนรายหนึ่งในสหรัฐฯ ศึกษาวิจัยถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการรักษาผู้ป่วย ที่บาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง ด้วยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนเป็นรายแรกในสหรัฐฯ นับเป็นการเปิดทางให้กับการวิจัยสเต็มเซลล์ตัวอ่อนในสหรัฐฯ อีกครั้ง