จะหวังให้ประเทศอุตสาหกรรมลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนเพียงลำพังไม่ได้เสียแล้ว เหล่าประเทศกำลังพัฒนา ต้องเร่งดำเนินการด้วย เพราะเสร็จสิ้นการประชุมที่โปแลนด์ ก็มีรายงานทางวิชาการออกมาว่า แค่มาตรการของ 2 ยักษ์ใหญ่ สหรัฐฯ-อียู ไม่เป็นผลอย่างแน่นอน
การประชุมนานาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ที่เมืองปอซนัน ประเทศโปแลนด์ ระหว่างวันที่ 1-12 ธ.ค. 51 ได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้ว โดยบีบีซีนิวส์ได้เผยสรุปรายงานของนักวิชาการ จาก 2 เครือข่ายองค์กร ว่ามาตรการของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมที่มีอยู่ตอนนี้ยังไม่เพียงพอ และประเทศกำลังพัฒนาจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หรือ “ไอพีซีซี” (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ได้กำหนดเป้าหมายไว้ว่าทั่วโลกจะต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่งของปริมาณในปี 2533 ให้ได้ภายในปี 2593 ซึ่งน่าจะช่วยให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอีกไม่เกิน 2.5 องศาเซลเซียสได้ และหลีกเลี่ยงมหันตภัยรุนแรงอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้
กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมในจี 8 (G8) ยอมรับในมติดังกล่าว ขณะที่บางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ยังคงต้องการรักษาระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศตนภายในปี 2593 ให้ลดลง 80% จากปี 2533
องค์กรประเทศโลกที่ 3 (Third World Network) ได้ประเมินแล้วพบว่าหากว่ากลุ่มประเทศอุตสาหกรรมทั้งหมดในโลกเห็นชอบกับฉันทามตินี้ กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ประมาณ 23% เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่จะลดลงได้ 50% ทั่วโลก และเมื่อคิดเฉลี่ยต่อหัวแล้วแต่ละคนจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ประมาณ 60%
หากประเทศกำลังพัฒนาทำได้พอประมาณ จะทำให้ค่าเฉลี่ยต่อหัวในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีอัตราคงที่เท่ากับในปี 2533 ซึ่งการเติบโตของประชากรนั้นจะส่งผลให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมทั้งหมดของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในปี 2593 ซึ่งเป็นปัญหาอย่างยิ่งต่อเป้าหมายของโลกที่วางไว้
นอกจากนี้ยังมีปัญหาอีกว่า แม้ว่าจะมีบางประเทศที่กำลังพัฒนา และกำหนดแผนการพัฒนาพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับควบคุมอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปด้วย แต่ก็ขาดความกระตือรือร้นในหมู่ประชาชน โอกาสทำสำเร็จได้จึงยากมาก
เอวาห์ เอเลอรี (Ewah Eleri) ผู้อำนวยการบริหารศูนย์นานาชาติด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และการพัฒนา (International Centre for Energy, Environment and Development) เมืองอาบูจา ประเทศไนจีเรีย กล่าวว่ายังพอมีหนทางสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจนสุดๆ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ ลดการใช้เตาถ่านแบบดั้งเดิม แล้วเปลี่ยนเป็นเตาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งน่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งไนจีเรียได้ราว 20-30%
ขณะที่ทั่วโลกมีประชากรประมาณ 2 พันล้านคน ที่ยังใช้ไม้เป็นเชื้อเพลิงหลัก และหากจะเปลี่ยนให้ประชาชนในจำนวนนี้ทั้งหมดเปลี่ยนมาใช้เตาที่มีประสิทธิภาพดีกว่า อาจต้องใช้งบประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นายเอเลอรี ยังระบุอีกด้วยว่าแม้ประเทศกำลังพัฒนาจะสามารถดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจำได้ แต่อย่างไรก็ดี ผู้นำในเรื่องนี้ก็ควรจะเป็นกลุ่มประเทศตะวันตกที่พัฒนาแล้ว
ทั้งนี้กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป (EU) มีมติแล้วว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20% เป็นอย่างน้อยภายในปี 2563 ขณะที่นายบารัค โอบามา (Barack Obama) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไปก็วางเป้าไว้แล้วว่าจะทำให้สหรัฐฯ ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้น้อยกว่าในปี 2533 ภายในปี 2563
เครือข่ายภูมิอากาศโลก (Global Climate Network) วิเคราะห์ว่าเพียงแค่มาตรการดังกล่าวของประเทศที่พัฒนาแล้วยังไม่เพียงพอที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ครึ่งหนึ่งในปีที่กำหนดเอาไว้อย่างแน่นนอน แม้ว่าทั้งอียูและสหรัฐฯ จะทำสำเร็จตามเป้าหมายก็ตาม
"พวกเราจะต้องปลดล็อคเพื่อลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ทว่าเราต้องหาวิถีทางที่เป็นธรรมในการจะทำเช่นนั้น" ข้อเสนอแนะของแอนดรูว์ เพนเดิลตัน ผู้ประสานงานของไอพีพีอาร์ (Institute for Public and Policy Research: IPPR) ในกรุงลอนดอน
ท้ายที่สุดเพนเดิลตันก็ให้ข้อสรุปว่า ประเทศที่ร่ำรวยกว่าจะต้องช่วยเหลือทางด้านการเงินและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดแก่ประกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ถ้าหากพวกเขาต้องการไปให้ถึงจุดหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 50% ในปี 2593 อย่างแท้จริง.