การประชุมสุดยอดว่า ด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อวานนี้ (7 ธ.ค.) และจะไปสิ้นสุดลงในวันที่ 18 ธันวาคม โดยมีตัวแทน 192 ประเทศ จำนวน 15,000 คน เข้าร่วมประชุม มีผู้นำเกือบ 100 ชาติ จะมาปรากฎตัวด้วย และ มีสื่อมวลชน 5,000 คนมาทำข่าว รายงานการประชุมครั้งนี้
ผู้นำและเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายๆ คน เดินทางมาด้วยเครื่องบินส่วนตัว รวมๆ กันแล้ว มีจำนวน 140 ลำ ซึ่งมากเกินกว่า ที่สนามบินของโคเปนเฮเกนจะรองรับได้ ในชั่วโมงที่มีการจราจรทางอากาศหนาแน่น เครื่องบินหลายๆ ลำ จึงต้องบินไปลงที่สนามบินใกล้เคียงอื่นๆ แล้วให้ผู้โดยสาร วีไอพี นั่งรถลีมูซีนมาโคเปนเฮเกน
จำนวนรถลีมูซีน ที่คาดกันว่า จะวิ่งขวักไขว่ตามท้องถนน ตลอดการประชุม จะมากถึง 1,200 คัน จากปกติที่มีเพียงไม่กี่ร้อยคัน เพราะโคเปนเฮเกน เป็นเมืองสีเขียว ที่การสัญจรส่วนใหญ่ ใช้ระบบขนส่งมวลชน และรถจักรยาน
ตลอดการประชุม 11 วัน คาดกันว่า จะมีการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มขึ้น 41,000 ตัน
สหภาพแรงงานผู้ขายบริการทางเพศของเดนมาร์ก ซึ่งมีสมาชิก 1,400 คน ประกาศว่า จะให้บริการทางเพศฟรี แก่ผู้เข้าร่วมประชุม ที่แสดงบัตรที่ออกโดยผู้จัดการประชุม เป็นการประชด ผู้จัดการประชุมที่รณรงค์ให้ผู้เข้ารวมประชุมครั้งนี้ งดเที่ยวผู้หญิงและซื้อบริการรักร่วมเพศ
เป้าหมายของ การประชุมสุดยอดที่โคเปนเฮเกน ครั้งนี้ ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า การประชุมภาคีสมาชิก กรอบอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติว่า ด้วยการเปลียนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( United Nations Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCCC) คือ เพื่อตกลงร่วมกัน ในการจัดทำสนธิสัญญาในการร่วมมือกัน แก้ไขการเปลียนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อลดภาวะโลกร้อน ฉบับใหม่ แทนพิธีสารเกียวโต ที่จะสิ้นสุดลงในอีก 3 ปี ข้างหน้า (พ.ศ.2555)
เมื่อปี 2535 มีการประชุม Earth Summit หรือการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อม และการพัฒนา ที่กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล เป็นครั้งแรกที่มีการพูดถึงภาวะโลกร้อน และการร่วมมือกันหาแนวทางแก้ไข อนุสัญญาUNFCC เกิดขึ้นจากการประชุมครั้งนี้ ในฐานะข้อตกลงระหว่างประเทศต่างๆ ที่จะร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
อีก 5 ปีต่อมาจึงเกิดพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal) ซึ่ง เปรียบเสมือนกฎหมายลูกของอนุสัญญาฯ ที่มีผลบังคับใช้ ถือเป็นกฎหมายระหว่างประเทศเพียงฉบับเดียว ที่มีการกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนให้ประเทศพัฒนาแล้วลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ให้ได้ภายในพ.ศ.2551-2555
แต่พิธีสารเกียวโต บังคับใช้ได้กับประเทศเล็กๆ เท่านั้น ประเทศใหญ่ๆ ไม่สนใจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ในสมัยปรtนาธิบดี จอร์จ บุช ซึ่งเป็นผู้ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รายใหญ่ของโลก ถอนตัว ไม่ยอมให้สัตยาบัน พิธีสารเกียวโต ซึ่งจะหมดอายุลงในพ.ศ. 2555 จึงไม่ค่อยจะมีผลเท่าไรนัก ในการแก้ไขภาวะโลกร้อน
เมื่อ สองปีก่อน ในการประชุมที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย มีการหารือกันเรื่อง จัดทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ เพื่อแทนพิธีสารเกียวโต รอบนี้ ประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีท่าทีให้ความร่วมมือที่ดีขึ้น เพราะตระหนักถึง ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่ใกล้ตัวเข้ามาทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐฯ หลังจากเปลี่ยนผู้นำ เป็นโอรัก โอบามา หันมาทำตัวเป็นพลเมืองที่ดีของโลก และจีน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
กลุ่มประเทศ จี 8 และประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่ ตกลงกันว่า จะจำกัด ไม่ให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า อุณหภูมิในยุคก่อนอุตสาหกรรม ( ประมาณ คศ. 1800 หรือ 200 กว่าปีก่อน) เกิน 2 องศาเซลเซียส หรือ 3.6 องศาฟาเรนไฮต์ โดยคาดหวังว่า สนธิสัญญาฉบับใหม่ที่จะคุยกันที่โคเปนเฮเกน จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ภายในขีดจำกัดนี้
ปัจจุบัน อุณหภูมิโลก เพิ่มขึ้นสูงกว่า ยุคก่อนอุตสาหกรรม 0.7 องศาเซลเซียส และนักวิทยาศาสตร์คาดกันว่า จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีกเป็น 1.5 องศา
หัวข้อหลักๆ ที่คาดว่าจะมีการเจรจากันในการประชุมครั้งนี้ สำหรับ กลุ่มประเทศพัฒนนาแล้ว จะกำหนดเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตน เพื่อลดการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ภายในปี พ.ศ. 2563 แม้ว่า บางประเทศอยากจะกำหนดเส้นตายให้เนิ่นานออกไปเป็นปี 2593 แต่ออสเตรเลีย อียู ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ บอกว่า มีแผนการที่จะทำให้ได้ภายในปี 2563 แล้ว
ประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่ เช่น จีน รัสเซีย จะถูกขอให้จำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย
ส่วนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จะเสนอให้มีสร้างกลไก เพื่อเร่งการถ่ายทอดเทคโนโลยี่ เพื่อลดกาซเรือนกระจก ให้เร็วขึ้น รวมทั้ง การสนับสนุนด้านการเงิน เพื่อเตรียมตัวรับมือกับ ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
อย่างไรก็ตาม การประชุมที่โคเปนเฮเกน ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถผลักดัน กฎหมายลดโลกร้อนฉบับใหม่ขึ้นมาใช้แทนพิธีสารเกียวโตได้เลย การประชุมครั้งนี้ เป็นการแสวงหาฉันทามติ ทางการเมือง ของประเทศต่างๆทั้ง 192 ประเทศว่า จะร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาสของโลก ถ้าตกลงกันได้แล้ว จึงจะกำหนดกรอบการทำงาน และกรอบเวลา ในการจัดทำสนธิสัญญาฉับบใหม่ ซึ่งคาดกันว่า จะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปี