หูเป็นอวัยวะที่ร่างกายใช้ในการได้ยิน แต่คนโบราณใช้หูทำงานอย่างอื่นด้วย ภาพวาดตามผนังพีระมิดแสดงให้เห็นว่า คนอียิปต์ในสมัยก่อนใช้หูแสดงความมีฐานะโดยการประดับใบหูด้วยอัญมณี และบางคนติดเครื่องรางที่หูเพื่อปกป้องตนให้รอดพ้นจากมนต์ดำและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ สตรีฮิบรูที่เจาะหูแสดงว่า เธอมีสามีแล้ว คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงนักบุญ Simon Peter ว่าได้ชักดาบออกมาปกป้องพระเยซูจากการถูกทหารโรมันจับกุม แล้วตัดหูทหารที่รับใช้นายพล Caiaphas เพราะปฏิบัติตามประเพณีที่เชื่อกันว่า คนที่ถูกตัดหู คือ คนทรยศ คนอังกฤษในสมัยก่อน เชื่อว่าเวลาใครพูดถึงเรา หูเราจะร้อนผ่าวและเวลาใครพูดเรื่องเราในแง่ดี เทพยดาที่คุ้มครองจะจับที่ใบหูขวา แต่ถ้าพูดเรื่องไม่ดี เทพยดาก็จะจับใบหูซ้ายแทน เป็นต้น
เมื่อหูมีบทบาทและความสำคัญเช่นนี้ คนหูหนวกในสมัยโบราณจึงได้รับการดูถูกดูแคลนจากสังคมมาก หนังสือ Cratylus ของ Plato อ้าง Socrates ว่าเคยพูดว่า คนหูพิการเป็นคนที่สวรรค์ไม่โปรด แต่ในพระราชวังของสุลต่านแห่งอาณาจักร Ottoman คนหูหนวกเป็นคนโปรดของพระราชา เพราะใครจะพูดอะไรคนหูหนวกก็ไม่ได้ยิน ดังนั้น จึงไม่สามารถนำความลับในพระราชฐานออกสู่โลกภายนอกได้
นอกจากนี้คนอาหรับก็นิยมใช้คนหูหนวกเป็นฆาตกรรับจ้าง เพราะเวลาถูกจับคนหูหนวกไม่สามารถซัดทอดคนอื่นได้ เพราะบอกอะไรใครไม่ได้เลย หนังสือ De Sensu ของ Aristotle ได้กล่าวดูแคลนคนหูหนวกว่า โง่กว่าคนตาบอด แม้แต่นักบุญ St. Paul ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันว่า คนหูหนวกคือคนโง่ ด้านนักบุญ St. Augustine นั้นก็คิดในทำนองเดียวกันว่า เพราะคนหูหนวกเรียนหรืออ่านอะไร ๆ ก็ไม่ได้ ดังนั้น คนเหล่านี้จึงไม่มีพระเจ้าในดวงใจ และเป็นคนบาป เมื่อเหตุและผลมีมากมายเช่นนี้ สังคมยุโรปในยุคโรมันเรืองอำนาจจึงออกกฎหมายห้ามคนหูหนวกมีครอบครัวและครอบครองสมบัติใดๆ
ถึงคนทั่วไปจะรู้จักคนหูหนวกเพียงไม่กี่คน แต่สถิติขององค์การอนามัยโลกในปี 2550 ก็ระบุว่า ทั่วโลกมีคน 278 ล้านคนที่มีปัญหาในการได้ยิน โดยเฉพาะหนึ่งในสามของคนที่อายุเกิน 60 ปี และกว่าครึ่งของคนอายุเกิน 85 ปี มีภาวการณ์ได้ยินบกพร่อง เช่น หูตึงจนต้องใช้เครื่องขยายเสียงช่วยในการฟัง หรือได้ยินเสียงหึ่งในหูตลอดเวลา (tinnitus) ดังที่คนอเมริกัน 12 ล้านคนเป็นโรคนี้ ทั้งนี้เพราะอวัยวะภายในหูทำงานบกพร่อง หรือถูกทำลาย และแพทย์ได้พบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนหูหนวกหรือหูตึงมากที่สุด คือ เซลล์ขน (hair cell) ทำงานบกพร่อง ซึ่งเซลล์ขนนี้มีจำนวนตั้งแต่ 16,000 - 30,000 เส้น โดยแต่ละเส้นยาว 0.95 มิลลิเมตร และอยู่เรียงรายภายในหูส่วนในที่มีลักษณะเป็นก้นหอย ซึ่งเรียกว่า cochlea กระบวนการได้ยินเกิดขึ้นเมื่อคลื่นเสียงเดินทางผ่านหู ทำให้แก้วหูสั่นตามจังหวะคลื่นเสียง แล้วคลื่นจะถูกส่งต่อไปยัง cochlea ซึ่งเป็นท่อยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ที่ภายในมีของเหลวบรรจุอยู่ และเมื่อคลื่นเสียงเดินทางไปในของเหลว เซลล์ขนที่ติดอยู่ตามผนังท่อจะโอนเอนไปมาคล้ายสาหร่าย และจะทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานเสียงเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อส่งต่อไปที่เซลล์ประสาทในสมองให้แปลความหมายของสัญญาณว่าเสียงที่ได้ยินคือเสียงอะไร และนักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบว่า
ถ้าหูใครมีจำนวนเซลล์ขนน้อยกว่าปกติ คนคนนั้นจะหูตึง และถ้าเซลล์ขนไม่ทำงานหรือขนหลุดจากรากเพราะถูกอนุมูลอิสระที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหารในเซลล์ปล่อยออกมาทำลาย หรือหูได้รับยาปฏิชีวนะเช่น ควินิน หรือแอสไพริน จนเซลล์ขนไม่ทำงาน คนคนนั้นก็จะหูหนวก และถ้าคนเหล่านี้ไม่มีอุปกรณ์ช่วยฟัง หูเขาจะหนวกสนิทจนรู้สึกโดดเดี่ยว และเหงา เพราะไม่ได้ยินเสียงสัญญาณใด ๆ ตลอดชีวิต
ตามปกติแพทย์พบว่า 80% ของคนที่มีอายุมากจะมีอาการหูตึง เพราะประสาทหูเสื่อม หรือเสีย นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้คนสูญเสียความสามารถในการได้ยิน นอกจากนี้ ก็มีสาเหตุอื่นอีก คือ หูมีสิ่งกีดขวางในรูหู เช่น ขี้หู หรือน้ำสกปรกในช่องหูมีมาก แต่ก็สามารถแก้ไขหูให้ทำงานตามปกติได้ โดยให้แพทย์ผ่าตัด หรือใช้เครื่องช่วยฟังซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปในรูหูให้กดกระดูก mastoid ที่อยู่หลัง cochlea ซึ่งจะเปลี่ยนพลังงานเสียงเป็นพลังงานกล แล้วเป็นพลังงานไฟฟ้าอีกทอดหนึ่ง จึงทำให้หูได้ยินดีขึ้น แต่บางครั้งแพทย์ก็อาจใช้ยา antioxidant ฉีดลงไปที่ฐานของ cochlea เพื่อให้สาร antioxidant ไปทำลายอนุมูลอิสระที่กำลังทำลายเซลล์ขน เพื่อให้เซลล์ขนคืนสภาพ ข้อเสียของการรักษาอาการหูตึงลักษณะนี้ คือ คนคนนั้นต้องรับยาทุก 2 - 3 วัน ดังเช่น ในปี 2549 แพทย์ได้รายงานในการประชุมที่ University College มหาวิทยาลัยลอนดอนว่า สารประกอบ resveratol ที่พบในไวน์แดงและชาเขียว หรือ salicyclate ที่พบใน aspirin สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ การดื่มไวน์แดงและชาเขียวจึงสามารถชะลออาการหูตึงได้บ้าง
เพราะความสามารถในการได้ยินขึ้นกับประสิทธิภาพทำงานของเซลล์ขน ดังนั้น หนทางหนึ่งในการรักษาอาการหูหนวกหรือหูตึง คือ การหาทางกระตุ้นให้เซลล์ขนที่เสื่อมสภาพกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม และแพทย์ก็ได้พบว่า ความบกพร่องในการได้ยินบางครั้งเกิดจาก gene ที่ทำงานผิดปกติหรือไม่ทำงาน เพราะเวลา gene ไม่สั่งให้เซลล์ขนทำงาน หรือเซลล์ขนตาย เพราะหูได้ยินเสียงดังเกินไป หรือคนนั้นเป็นโรค meningitis (โรคเยื่อหุ้มประสาทสมองและไขสันหลังอักเสบ) ที่ทำให้เซลล์ขนตาย ตามปกติเมื่อคนมีอายุมากขึ้น เซลล์ขนจะมีประสิทธิภาพในการทำงานด้อยลง ๆ เวลาเซลล์ขนตายร่างกายจะไม่สามารถสร้างเซลล์ขนขึ้นใหม่ได้อีก ดังนั้น เมื่อเซลล์ขนตายไปคนคนนั้นก็จะหูตึงขึ้นๆ จนหนวกในที่สุด (อ่านต่ออังคารหน้า)
สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.