xs
xsm
sm
md
lg

รับเกินจำเป็น !! แพทย์จุฬาฯ มุ่งศึกษาแก้ปัญหา "คนไทยกินยาไซส์ฝรั่ง"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การกินยาบางชนิดขนาดเดียวกับฝรั่ง คนไทยอาจได้รับขนาดยามากเกินความจำเป็นจนน่ากลัวจะให้ทั้งคุณและโทษ (ภาพจากนิตยสารเฮลท์ทูเดย์)
ใครจะรู้ "ยารักษาโรค" ที่เรากินอยู่ทุกวันนี้อาจก่อโทษแก่เราได้ เพราะยาส่วนใหญ่พัฒนาโดยฝรั่ง ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมการกิน ตลอดจนพันธุกรรมแตกต่างจากคนไทยมาก การกินยาในขนาดเท่ากัน คนไทยอาจได้ทั้งคุณและโทษ ยกตัวอย่างยาต้านเอดส์ ชาวตะวันตกกินแล้วไม่เป็นอะไร แต่คนไทยกินขนาดเท่ากันกลับได้รับยาเกินขนาด และเกิดผลข้างเคียงรุนแรงยิ่งกว่า

“ไทย – เทศ” ใช่จะต้องกินยาขนาดเดียวกัน

ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม รองคณบดีฝ่ายวิจัย และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเอดส์และภูมิแพ้ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์เจาะลึกกับ ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ว่า การกินยาต้านโรคเอดส์บางชนิด ตามฝรั่งอาจทำให้ผู้ป่วยคนไทยได้รับยาเกินขนาดถึง 30% และผู้ป่วยอาจตัวเหลือง และตาเหลืองด้วยอาการดีซ่านมากกว่าชาวตะวันตกถึง 3 เท่า

แถมการกินยาเกินขนาด ยังเป็นการสูญเสียเงินตราออกสู่ต่างประเทศโดยไม่เกิด ประโยชน์ปีละหลายร้อยล้านบาท โดยเฉพาะยาที่มีราคาแพง และยาที่มักก่อผลข้างเคียงอันตราย เช่น ยาต้านเอดส์ ยารักษาโรคไต โรคตับ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคลมชัก และยากดภูมิคุ้มกัน

จากข้อแตกต่างนี้ ศ.นพ.เกียรติ กล่าวว่า คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จึงเริ่มโครงการศึกษาขนาดยาที่เหมาะสมสำหรับคนไทยขึ้นเมื่อราว 5 ปีก่อน โดยร่วมกับศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย (HIV-NAT) ศึกษาขนาดยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคเอดส์ชาวไทยอย่างน้อย 5 ตัวในตระกูลโปรติเอสอินฮิบิเตอร์ (Protease inhibitors)

ทั้ง 5 คือ อินดินาเวียร์, โลซินาเวียร์, ซาควินาเวียร์, เอทาซานาเวียร์, และนอร์เวียร์ จนได้ผลน่าพอใจ พบว่ายาต้านเอดส์ของฝรั่งเกือบทุกตัวให้ระดับยาเกินขนาดเมื่อนำมาใช้กับผู้ป่วยคนไทยถึง 1 ใน 3 เท่าของความต้องการจริง

ผลกระทบจากการค้นพบดังกล่าว ได้นำไปสู่การปรับแนวปฏิบัติใหม่เพื่อแนะนำแก่แพทย์ในการให้ยาต้านโรคเอดส์แก่ผู้ป่วยเอดส์ทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้มีผู้ป่วยเอดส์กว่า 1.2 แสนคนเฉพาะในระบบประกันสุขภาพของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และระบบประกันสังคม และในจำนวนนี้ราว 20% หรือประมาณ 2 หมื่นคนต้องพึ่งยาต้านเอดส์ราคาแพงถึงประมาณ 5 พันบาทต่อคนต่อเดือน

"หากคำนวณกันเล่นๆ ให้ผู้ป่วยคนไทยกินยาต้านไวรัสเอดส์ เฉพาะกลุ่มโปรติเอสอินฮิบิเตอร์ในขนาดที่พอดีจากปัจจุบันที่กินเกินอยู่ 30% จะทำให้ประหยัดค่ายาจุดนี้ได้ประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี และหากขยายไปสู่ยาราคาแพงและมีผลข้างเคียงมากอื่นๆ ด้วยก็จะช่วยลดงบประมาณชาติได้นับพันล้านบาททีเดียว" นักวิจัยผู้ได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปี 2550 จากการมีผลงานวิจัยได้รับการอ้างอิงสูงสุด 1,226 ครั้ง และเพิ่มเป็น 1,357 ครั้งเมื่อ 1 ก.ค.51 กล่าว

รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทย์ จุฬาฯ เผยด้วยว่า การศึกษายังพบอีกว่ายาต้านไวรัสเอดส์อีก 2 ตัวในกลุ่มเอ็นเอ็นอาร์ทีไอ (NNRTI) คือ เนวิราปีน (NVP) และเอฟฟาไวเร็นซ์ (EFV) ที่ชาวตะวันตกต้องกินเพิ่มอีก 1 เม็ดหากกินคู่กับยาต้านวัณโรคเพราะยาต้านวัณโรคมีผลยับยั้งประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสเอดส์ลงประมาณครึ่งหนึ่ง ทว่าคนไทยไม่มีความจำเป็นต้องกินเพิ่มตามฝรั่งก็ได้ขนาดยาที่เพียงพอแล้ว

ส่วนผลกระทบด้านการตีพิมพ์ผลงานวิจัยข้างต้น ในวารสารระดับแนวหน้า ศ.นพ.เกียรติ เผยว่า ทั้งหมดได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติด้านเอดส์ชั้นนำของโลกแล้ว ทั้งวารสารเอดส์ (AIDS) และวารสารแอนติไวรัลเธอราพี (Antiviral Therapy) จำนวนเกือบสิบเรื่อง อีกทั้งองค์การอนามัยโลก (WTO) ยังนำผลการค้นพบเหล่านี้ไปแนะนำประเทศต่างๆ ในเอเชียได้ปรับขนาดการใช้ยาต้านไวรัสเอดส์แก่ผู้คนด้วย

ทว่า แม้จะทราบขนาดยาบางตัวที่เหมาะสมกับการรักษาโรคของคนไทย โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงแล้ว แต่ก็ไม่ง่ายนักที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงขนาดยาที่พอดีได้ เพราะผู้ผลิตยายังคงผลิตยาในขนาดปรกติ เช่น ยาบางชนิดจะผลิตออกมาเฉพาะขนาด 300 และ 150 มิลลิกรัม หรือผลิตขนาด 400 และ 200 มิลลิกรัมเท่านั้น ปัญหาแพทย์ไม่อาจจัดยาให้ได้ขนาดที่เหมาะสมได้โดยวิธีใดๆ ก็ตามจึงเกิดขึ้นได้

สำหรับยาเมืองนอกที่ยังไม่หมดสิทธิบัตรยังคงทำอะไรไม่ได้มากเพื่อให้บริษัทผู้ผลิตยาเปลี่ยนขนาดการผลิตยาให้เหมาะสมกับคนไทย"

"แต่สำหรับยาที่หมดสิทธิบัตรคุ้มครองแล้ว เมื่อเราทราบขนาดยาที่เหมาะสมก็สามารถเสนอไปยังกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาเพื่อกำหนดให้ผู้ผลิตยาในประเทศหรือองค์การเภสัชกรรมผลิตยาในขนาดที่เหมาะสมกับคนไทยออกมาวางจำหน่ายได้ โดยไม่ต้องกินยาขนาดเดียวกับชาวตะวันตกอีก” ศ.นพ.เกียรติกล่าว

อย่างไรก็ดี ศ.นพ.เกียรติ ย้ำว่า ไม่ได้หมายความว่ายารักษาโรคทุกชนิดของชาวตะวันตกจะสามารถลดขนาดยาลงได้ทั้งหมด และไม่แนะนำให้ผู้ป่วยคนไทยปรับลดขนาดยารักษาโรคใดๆ ด้วยตัวเองโดยเด็ดขาดหากยังไม่มีการศึกษาวิจัยมาก่อน เพราะอาจเกิดอันตรายได้

ใส่เกียร์เดินหน้าศูนย์ศึกษาขนาดยาเพื่อคนไทย

ขณะที่ความก้าวหน้าล่าสุด ศ.นพ.เกียรติ เผยว่า คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้เริ่มการจัดตั้งศูนย์ศึกษาขนาดยาที่เหมาะสมกับคนไทยระดับสากลขึ้น ในชื่อ “ศูนย์วิจัยเภสัชจนศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” (Chula Pharmacokinetic Research Center: PK Research Center)

เป้าหมายเพื่อศึกษาขนาดยาชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากยาต้านไวรัสเอดส์ที่เหมาะสมสำหรับคนไทย ทั้งที่เป็นยาชนิดใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นในโลก, ยาต่างชาติที่หมดสิทธิบัตรคุ้มครองแล้ว, และยาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันทว่าแพทย์มักพบผลข้างเคียงจากยามากจนอาจต้องลดขนาด เช่น ยากดภูมิคุ้มกันเมื่อมีการปลูกถ่ายอวัยวะ และยารักษาโรคลมชักที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดผื่นแพ้อย่างรุนแรง

นอกจากนั้น ยังหวังว่าศูนย์ดังกล่าวจะทำให้ไทยได้มีส่วนในการพัฒนายาใหม่ๆ ของโลก ให้ได้ขนาดยาที่เหมาะสมกับผู้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะชาวตะวันตกหรือชาวเอเชียในเวลาเดียวกัน

และเพื่อให้เกิดความตื่นตัวในวงการแพทย์ไทยในการศึกษาขนาดยาที่เหมาะสมกับคนไข้โรคต่างๆ ที่อาจได้รับผลข้างเคียงจากยาและช่วยลดงบประมาณรายจ่ายค่ายาเกินจำเป็น ทำให้คนไทยเข้าถึงยามากขึ้น และที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือเพื่อให้อุตสาหกรรมยาไทยสามารถผลิตยาที่หมดสิทธิบัตรแล้วได้อย่างมั่นใจ

นักวิจัยดีเด่นเผยต่อไปว่า ศูนย์ศึกษาขนาดยานี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีพื้นที่ใช้สอยทั้งสิ้น 400 ตารางเมตร เชื่อว่าปลายปีนี้จะสามารถเปิดศูนย์อย่างเป็นทางการได้ ขณะที่ปัจจุบันงานวิจัยขนาดยาที่เหมาะสมสำหรับคนไทยยังคงดำเนินการไปไม่หยุดนิ่ง

พร้อมๆ กันนั้น คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ยังมีแผนจัดตั้งศูนย์วิจัยทางคลินิก (Clinical Research Center: CRC) ระดับสากลขึ้นอีกศูนย์หนึ่งในคณะแพทยศาสตร์ในเวลาไล่เลี่ยกัน เพื่อจัดสรรพื้นที่ให้แก่นักวิจัยและอาสาสมัครวิจัยทางการแพทย์สาขาต่างๆ เป็นการเฉพาะ ไม่ต้องรวมกับการให้บริการผู้ป่วยทั่วไปของโรงพยาบาล เพื่อให้อาสาสมัครได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นโดยมีขนาดกว่า 10 เตียง และยังทำให้การศึกษาขนาดยาที่เหมาะสมกับคนไทยมีอัตราเร็วสูงขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ศ.นพ.เกียรติ ชี้ว่า การขยายพื้นที่ส่วนดังกล่าวจะประกอบด้วยบุคลากรทำงานเต็มเวลา สามารถทำวิจัยคลินิกได้ทั้งวันธรรมดาและวันหยุดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่อาสาสมัครในวัยทำงาน โดยจะช่วยให้คณะแพทยศาสตร์ศึกษาขนาดยาที่เหมาะสมได้หลายโครงการพร้อมๆ กัน ในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือนต่อโครงการ ปีหนึ่งๆ จึงมีการศึกษาขนาดยาที่เหมาะสมสำหรับคนไทยได้มากกว่าสิบชิ้นเลยทีเดียว

และเชื่อว่าโมเดลนี้จะเป็นโมเดลที่คณะแพทย์ทั่วประเทศต่างทำให้เกิดขึ้นแล้ว ไม่เฉพาะที่จุฬาฯ เท่านั้น

ประเทศไทยมันไม่ใช่ยุคของการแข่งขันระหว่างสถาบันแล้ว จะต้องทลายกำแพงลงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น จุฬาฯ ศิริราช มหิดล เชียงใหม่ หรือขอนแก่น แต่เป็นยุคที่คณะแพทย์และวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้งหลายต้องมาคิดด้วยกัน เพื่อนำความเข้มแข็งของแต่ละสถาบันมาคิดร่วมกันว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยมีผลงานวิจัยที่ดีจริงๆ ได้บ้าง"

"เป็นผลงานระดับโลก ตอบโจทย์ประเทศไทย เอเชีย และโลก เพราะมีความสำคัญมากกว่า ทำให้เกิดงานวิจัยยั่งยืน มีผลกระทบต่อสังคมจริงๆ ไม่ใช่วิจัยเสร็จก็ได้ตีพิมพ์แล้วก็เป็นเพียงความสำเร็จในกระดาษ

ศ.นพ.เกียรติ ฝากความปรารถนาปิดท้ายไปยังพี่น้องข้ามสายที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยว่า ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพในปัจจุบัน แพทย์และนักวิทยาศาสตร์จะทำงานต่างคนต่างทำไม่ได้แล้ว แต่ควรมาแบ่งปันความรู้จากหลอดทดลองและในคลินิกร่วมกันด้วย

เพราะในท้ายที่สุดผลประโยชน์ก็หาใช่จะตกที่ผู้ใด แต่เป็นสุขภาพอนามัยของคนไทยและอาจถึงคนทั้งโลกที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆ โดยการวิจัยที่ว่านี้ในต่างประเทศจะเรียกว่า “ทรานสเลชันแนลรีเสิร์ช” (Translational Research) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากในซีกโละตะวันตก อาทิสหรัฐอเมริกาที่อัดฉีดด้วยงบประมาณเหนาะๆ 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่วนฝั่งยุโรปไม่น้อยหน้าอัดฉีดเพิ่มอีกปีละกว่า 2 หมื่นล้านบาททีเดียว.
 ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม รองคณบดีฝ่ายวิจัย และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเอดส์และภูมิแพ้ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ทราบหรือไม่ว่าคนไทยมีน้ำหนัก ส่วนสูง รูปร่าง วัฒนธรรมมการกินอยู่ และพันธุกรรมต่างจากชาวตะวันตกมาก การกินยาบางชนิดในขนาดเท่ากันอาจไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน (ภาพจาก www.dek-d.com)
ผลการวิจัยพบว่าคนไทยก็มีขนาดยาที่เหมาะสมกับความต้องการของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องใช้ขนาดเดียวกับชาวตะวันตกที่มีรูปร่างสูงใหญ่มาก (ภาพจาก img.dailymail.co.uk)
ศ.นพ.เกียรติ เผยอีกว่า นอกจากลดผลข้างเคียงจากยาได้แล้ว การใช้ยาขนาดที่เหมาะสมยังเป็นการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้คนไทยเข้าถึงยาราคาแพงได้มากยิ่งขึ้น (ภาพจาก www.cl4life.net)



กำลังโหลดความคิดเห็น