“มาร์ค” ตั้ง5 ข้อใหญ่ คิดเพื่ออนาคต “ถอดโจทย์ประเทศไทย.” วอนประชาชนใช้สิทธิตามประชาธิปไตยเคารพกฏหมาย ลั่นพร้อมตัดวงจรไม่ให้เกิดความรุนแรง ห่วงค่านิยม “การทุจริต” ครอบงำคนรุ่นใหม่ เป็นตัวฉุดตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ
วันนี้(18 ก.ค.) เมื่อเวลา 09.30น.นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเปิดการสัมมนาและปาฐกถาเรื่อง คิดเพื่ออนาคต ถอดโจทย์ประเทศไทยครั้งที่2 จัดโดยบริษัท อสมท.จำกัด(มหาชน)ว่า ก่อนที่จะตั้งโจทย์ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันถอดนั้น กิจกรรม วันนี้เป็นการระดมความคิดจากบุคคลหลากสาขาเพื่อหาคำตอบให้ประเทศในการเผชิญ ปัญหาและสิ่งท้าทาย ตนได้รับหน้าที่ตั้งโจทย์ที่ไม่ใช่เพียงโจทย์เฉพาะหน้า เพราะหลายเวทีพูดเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจเละการเมืองมามากแล้ว สองเรื่องนี้ไม่ใช่ไม่สำคัญหรือไม่มีปัญหา
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขอ พูดจากใจจริงว่า วันนี้กระบวนการแก้สองวิกฤตข้างต้นนั้นเดินหน้าไประดับหนึ่ง มีกรอบความคิดและมาตรการดำเนินการโดยเป็นไปตามแนวทางที่วางไว้ ด้านเศรษฐกิจนั้น รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาสองช่วงคือ รักษากำลังซื้อของประชาชน และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยดำเนินการตามแผนที่วางไว้แล้ว ในครึ่งปีนี้ได้วางเรื่องราวเอาไว้ หลายเรื่องที่ไม่เคยทำกันมา เช่น เบี้ยยังชีพ การศึกษาฟรี เกิดขึ้นแล้วและเป็นการบรรเทาผลกระทบ ส่วนการว่างงานที่พูดว่าอาจถึงสองล้านคนนั้น เมื่อรัฐบาลดำเนินการแล้วปัญหาและความรุนแรงที่พูดกันไว้ รวม ทั้งการหดตัวทางเศรษฐกิจที่แรงสุดในสามเดือนแรกของปีนี้ก็ค่อยๆลดลงมา วันนี้มั่นใจว่าตัวเลขเหล่านี้จะลดลง และปลายปีนี้เศรษฐกิจน่าจะขยายตัวเป็นบวกได้ ส่วน เรื่องการเมืองนั้น รัฐบาลพยายามรักษาบรรยากาศของบ้านเมืองแม้จะเกิดเหตุในเดือนเม.ย. แต่ก็คลี่คลายโดยเร็วจนบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ การแก้ไขเรื่องนี้คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ส่งรายงานให้รัฐสภาและตนแล้ว ซึ่งรัฐบาลและรัฐสภาจะร่วมกันดำเนินการต่อไป
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนตั้งโจทย์ที่มองยาวออกไป เพราะการแก้ปัญหาของรัฐบาลนี้ แม้จะมีปัญหาเฉพาะหน้ามากมายแต่จะใช้แนวทางแก้ปัญหาเพื่อปูทางตอบโจทย์ของประเทศในระยะยาวด้วย การตอบโจทย์เรื่องขีดความสามารถของประเทศโดยที่มองไปข้างหน้าที่มากกว่าปัญหาเฉพาะหน้าคือ 1.กระ แสโลกาภิวัฒน์ที่ยังไม่มีการหยุด และเดินหน้ารวดเร็วรุนแรงต่อเนื่อง ฉะนั้นการหาคำตอบสำหรับประเทศนั้นไม่สามารถละเลยการมองสิ่งที่เกิดขึ้นกับ กระแสสังคมโลกและปัญหาโลกได้ ไม่มีเศรษฐกิจของประเทศใดๆในโลกที่จะวิเคราะห์ และวางแผนเศรษฐกิจโดยไม่สนใจเศรษฐกิจโลก การวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยในอนาคตเป็นสิ่งที่เราฝืนกระแสโลกไม่ได้ แต่เราต้องมีวิธีจัดการรับมือโลกภิวัฒน์ให้ได้ ประเทศไทยก็ไม่แตกต่างกับประเทศอื่น แต่กลับไม่ค่อยตื่นตัว บางคนอ้างว่าเศรษฐกิจไทยดีเมื่อ4-5ปีที่แล้ว มันไม่มีทางดีได้ หากเศรษฐกิจโลกไม่ดี ระบบ สถาบันการเงินไทยแม้แข็งแรง แต่เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกก็เกิดผลกระทบรุนแรง แม้พื้นฐานเศรษฐกิจไทยจะไม่มีปัญหาอะไร ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่มาจากเม็กซิโกวันนี้กลายเป็นโรคประจำถิ่นของไทย เหมือนประเทศอื่นๆไปแล้ว เรื่องนี้มันปฏิเสธกระแสโลกไม่ได้ วิธีการแก้ปัญหาต่างๆมันมีปัจจัยระหว่างประเทศที่ร่วมกำหนดโจทย์ให้ไทยโดยปริยาย
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า 2 . อนาคตที่มองไกลมากที่สุดคือ ความอยู่รอดของมนุษย์จากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและทำลายสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เพิกเฉยไม่ได้ ภาวะโลกร้อนและอากาศแปรปรวนจนเกิดภัยธรรมชาติมากขึ้น มันส่งผลรุนแรงกับชีวิตของประชาชนทั่วโลก สิ่งนี้เกิดผลกระทบด้านพลังงานและอาหาร เพราะทุกสังคมมีความเติบโตก็ต้องการพลังงานและอาหารมากขึ้น ปัญหาราคาพลังงานและอาหารจะย้อนกลับมาใน2-3ปีข้างหน้า
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า 3.การพัฒนาประเทศไทยที่เหมือนทุกประเทศในโลกที่จะเปลี่ยนเป็นสังคมเมืองมากขึ้นตามลำดับ แม้ไม่เป็นปัญหามากนัก เพราะคนต้องแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าคือ ชนบทเข้าเมือง แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างสังคมนั้น จะมีลูกหลานเกษตรกรกี่คนวางแผนที่จะเป็นเกษตรกรในพื้นที่ของตัวเอง เรื่องนี้แทบจะมีน้อยมาก สังคมเมืองเติบโตขึ้นก็มีปัญหาที่กระทบกับสถาบันครอบครัวรุนแรง เด็กๆที่ไม่อยู่กับพ่อแม่มีสัดส่วนสูงขึ้นทุกปี ตรงนี้ต้องหาคำตอบร่วมกัน
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า 4. การพัฒนาของประเทศและสังคมที่ทำให้เกิดการคาดหวังของประชาชน โดยเฉาะการเรียกร้องด้านสิทธิ ฉะนั้นการตื่นตัวการใช้สิทธิของประชาชนจะมากขึ้นตามลำดับ เช่น สิทธิด้านเสรีภาพ ไม่ต้องการให้รัฐแทรกแซงด้านสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แต่มันรวมถึงการได้รับบริการพื้นฐานจากรัฐมากขึ้น และ5. การคาดหวังของประชาชนที่ต้องการมีสวัสดิการ
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า โจทย์5ข้อนี้ที่ตนฝากไว้ หากถามว่ารัฐบาลจะตอบโจทย์เหล่านี้อย่างไรนั้น ยุคโลกาภิวัตน์นี้ ตนใช้เวลาเดินทางไปต่างประเทศพอสมควรเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและเข้าใจกับความเป็นไปในประเทศ โดยเฉพาะ2-3ปี ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของประเทศได้รับผลกระทบมากมาย รัฐบาลพยายามขับเคลื่อนความร่วมมือกับอาเซียนนั้นต้องทำอย่างจริงจัง โดยเชื่อมอาเซียนเข้ากับเอเชียกลุ่มอื่นๆ มันเป็นสิ่งสำคัญ และได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ในกฎบัตรอาเซียนว่า หกปีข้างหน้าจะเป็นประชาคมอาเซียนร่วมกัน ไม่อย่างนั้นเศรษฐกิจและสังคมของอาเซียนจะไม่เข้มแข็งพอ ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจของ จีน อินเดีย รัสเซีย บราซิลและตะวันออกกลาง เรื่องนี้ตนไม่อยากละเลย เราต้องเดินหน้ากระชับความร่วมมือของประเทศที่ใกล้ชิดให้มากที่สุด
นาย อภิสิทธิ์กล่าวว่า สิ่งแวดล้อมและความสามารถทางการแข่งขันของไทยในยุกโลกาภิวัตน์นั้นโครงการ ไทยเข้มแข็ง ที่บางคนบอกว่าใช้จ่ายเงินและกู้เงินนั้น ขอเรียนว่ารัฐบาลทำโครงการนี้เพื่อยกเครื่องประเทศไทยภายในสามปีข้างหน้า โดยใช้เงินฝากของคนไทยที่พิสูจน์จากการขายพันธบัตรไทยเข้มแข็งที่เงินแช่ไว้ในธนาคารและธนาคารไม่พร้อมปล่อยสินเชื่อในสภาวะปัจจุบัน เ รานำเงินของคนไทยในประเทศมาใช้กับโครงการไทยเข้มแข็ง การลงทุนด้านอาหารและพลังงานคือการลงทุนด้านแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร หากผลผลิตเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว ราคาสินค้าเกษตรไม่ต้องขยับ แต่ รายได้ของเกษตรกรจะเพิ่มขึ้น โดยต้องแก้ไขหนี้สินและที่ดินของเกษตรกร ตนมั่นใจว่าไทยเป็นไม่กี่ประเทศที่ผลิตอาหารเกินการส่งออกและผลิตพลังงานทด แทนได้ด้วย
นาย อภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลเปลี่ยนระบบการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรที่ทำลายขีดความสามารถของประเทศ คือจำนำสูงเกินความเป็นจริง มาเป็นการปรับเปลี่ยนเป็นระบบประกันราคาและรายได้ ต่อไปจะพัฒนาระบบประกันภัยธรรมชาติเพื่อสร้างหลักประกันให้เกษตกรด้วย โครงการไทยเข้มแข็งจะลงทุนด้านขนส่งคมนาคมเพื่อให้ต้นทุนการผลิตลดลงตามลำดับและยังจะครอบคลุมด้านโทรคมนาคมด้วย
นาย อภิสิทธิ์กล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐานทางสังคมนั้น โครงการไทยเข้มแข็งจะปรับปรุง โรงเรียน โรงพยาบาล สถานีอนามัย สร้างศูนย์ความเป็นเลิศการรักษาโรคที่เป็นเหตุให้คนไทยเสียชีวิต และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวด้วย การสร้างความสมดุลการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น ภาคอุตสากรรมไม่ได้สร้างสมดุลนี้ แต่รัฐบาลเริ่มสะสางปัญหาแล้วคือ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่มีการไม่ปฏิบัติตามแผนหรือไม่ได้วางแผนไว้ รัฐบาลกำหนดแนวทางว่าการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมจากนี้ไปต้องไม่ให้เหตุการณ์มาบตาพุดเกิดขึ้นอีก โดยต้องมีพื้นที่กันชนไม่ให้สร้างผลกระทบกับพื้นที่อื่นๆและเร่งรัดดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 ที่ต้องประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน โดยต้องมีองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาร่วมด้วย
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ส่วนเรื่องสิทธิและสวัสดิการของประชาชนนั้น เรื่อง สิทธินั้น ตนให้แนวปฏิบัติชัดเจนว่า รัฐบาเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกับรัฐบาล เพราะประชาธิปไตยนั้นต้องยอมรับความแตกต่างและเปิดโอกาสให้แสดงความเห็นสุจริตออกมาได้
“ สิ่งสำคัญที่นอกเหนือโจทย์ห้าข้อของผมนั้น การอ้างการใช้สิทธิและประชาธิปไตยนั้นต้องยึดการเคารพกฎหมาย ผมต้องตัดวงจรไม่ให้การใช้ความรุนแรงจากฝ่ายใดเกิดขึ้นอีก ส่วนภาครัฐนั้น ผมแสดงออกชัดว่าจะเปลี่ยนนโยบายการใช้ความรุนแรงของภาครัฐ เช่น ภาคใต้ ยาเสพติด ที่จะรักษาความมั่นคงและเดินหน้าไปได้ โดยรัฐต้องไม่อยู่เหนือกฎหมาย และในทางกลับกันหากประชาชนจะเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้น ต้องเคารพกฎหมายไม่ใช้ความรุนแรง หากชุมนุมสงบ รัฐจะให้ความเคารพ หากใช้ความรุนแรง รัฐต้องรักษากฎหมายเพื่อให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ หากทำไม่ได้ก็จะตอบโจทย์ข้ออื่นๆไม่ได้เลย มันจึงเป็นหัวใจสำคัญที่ขอเชิญทุกคนตอบโจทย์การเข้าใจปรากฏการณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น”
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราต้องสร้างทัศนคติและค่านิยมว่า มันคือสิ่งที่จำเป็นในการสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเพราะเรามีกติกา ต้องยอมรับผิดตามกฎหมายหากกระทำผิด ไม่อย่างนั้นจะมีการใช้อำนาจเพื่อให้บางกลุ่มอยู่เหนือกฎหมาย บ้านเมืองจะไม่มีวันสงบสุข ความปรองดองสมานฉันท์จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ยึดหลักการนี้ เพราะหลักการนี้คือหลักสำคัญที่ตอบโจทย์ทุกข้อ สังคมที่เดินหน้าไปได้นั้นต้องเป็นสังคมสุจริต ยึดมั่นกฎหมาย คุณธรรมและจริยธรรม หากไม่สิ่งนี้ก็ตอบโจยท์อื่นๆไม่ได้เช่นกัน
“เรื่อง นี้โดนท้าทายมากในช่วงที่ผ่านมา เช่น ค่านิยมการทุจริตที่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคม หากไม่ต่อสู้และปล่อยให้ค่านิยมนี้ครอบงำคนรุ่นใหม่ที่ยอมรับว่า การทุจริตเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เลี่ยงไม่ได้และจำเป็นต่อความก้าวหน้า ฟากปล่อยไว้แบบนี้สังคมไทยจะตอบโจทย์อะไรไม่ได้เลย ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกคนต้องร่วมมือกันว่า สุจริต คุณธรรม จริยธรรม และยึดกฎหมายนั้นจะตอบโจทย์ สังคม เศรษฐกิจ การเมืองได้”นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ระบบสวัสดิการที่จะช่วยเหลือประชาชนทุกคน จะชัดเจนตามลำดับโดยการเรียนฟรี การรักษาฟรีนั้นต้องดำเนินการต่อเนื่อง และเร่งรัดเบี้ยยังชีพคนพิการ3แสนคนที่ยังไม่ได้รับการสนับสนุน 500บาทต่อเดือนนั้นอย่างไรก็คงไม่พอ แต่ภาษีของเราไม่มากพอสำหรับตรงนี้ เเต่รัฐบาลจะเร่งระบบการออมและสวัสดิการเพื่อให้ผู้สูงอายุมั่นใจว่ามีเงินออมในยามชรา ส่วนระบบภาษีนั้น มันลำบากในการขยับ ภาษี ที่ดินและทรัพย์สิน รัฐบาลจะผลักดันโดยเชื่อมโยง จะมีภาษีก้าวหน้าและจะมีธนาคารที่ดินเกิดขึ้นให้เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน ที่นำสู่ไปยังการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมมากขึ้น เราจะไม่ทำระบบสวัสดิการจนเกิดปัญหาภาษีสูงและส่งผลกับการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์หลังการปาฐกถาเรื่องคิดเพื่ออนาคต ตอบโจทย์ประเทศไทย ครั้งที่2 ณ โรงแรมเรดิสัน พระรามเก้า ซึ่งได้พบกับพล.อ.สนธิ บุญยรักลิน อดีตประธานคมช.ที่มาร่วมงานด้วยว่า “ผมถามว่าท่านสบายดีหรือเปล่า ท่านตอบว่าสบายดีครับ”