∞สวัสดีเจ้าค่า "ไซน์กระซิบ" กลับมาพบกันอีกครั้ง สำหรับวันเสาร์นี้-เสาร์ที่ 26 เม.ย.51 กับข่าวสารกระจุกกระจิกน่ารักน่าหยิกในแวดวงวิทย์แบบไทยๆ∞
∞เปรยถึง "โทรเลข" อ้อ...ใครนั่นทำตาแป๋วแหว๋ว ส่ายหัวทำหน้าไม่รู้จัก หรือใครที่แอบดอดไปสนิทสนมกันมาตั้งแต่ยุค "คุณตาคุณยายยังเด็ก" แล้ว "หนูไซน์ฯ" ก็ขอกระซิบกันดังๆ ตั้งแต่วันนี้-30 เมษาที่ทำการไปรษณีย์กลาง บางรัก เขาจัดสัปดาห์อำลาโทรเลขไทยกัน ก่อนรุ่งเช้าวันที่ 1 พฤษภา 2551 ประเทศไทยจะไร้โทรเลข - เทคโนโลยีเริ่มแรกที่ย่อโลกให้เล็กลง และปิดตำนาน 133 ปีโทรเลขไทยอย่างสมเกียรติ...
...ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การร่วมกันส่งโทรเลขคนละฉบับ-สองฉบับเป็นการส่งท้าย จะส่งให้ตัวเองเป็นที่ระลึก หรือจะส่งให้คุณพ่อคุณแม่ หวานใจ เพื่อนสนิท หรือจะแอบส่งให้ "กิ๊ก" (แต่อย่าให้แฟนรู้) ก็ไม่มีใครว่า ส่วนใครอยากรู้ว่าอดีตเขาส่งรหัสมอร์สกันอย่างไร ก็มีให้ชมวันละ 2 รอบ 12.30 น.และ 17.30 น....
...โดยเฉพาะวันสุดท้าย 30 เมษาฯ เขาก็ยังมีวงเสวนา "จับเข่าเล่าเรื่อง...ตะแล้ปแก๊ป" ในช่วงบ่าย เพื่อให้ผู้ที่เคยคลุกคลี-มีความหลังกับโทรเลขมาจับเข่าเม้าท์กัน ...และที่ต้องทำดอกจันไว้มากๆ เห็นเป็นช่วง 20.00 น.ของวันนั้นที่จะมีพิธีส่งโทรเลขฉบับสุดท้าย มี "มั่น พัธโนทัย" รมว.ไอซีทีและอดีตอธิบดีกรมโทรเลขมาเคาะกันคนละคำสองคำเพื่อประกอบเป็นประโยคโทรเลขฉบับประวัติศาสตร์ พี่น้องคนไทยคนไหนอยากเก็บเป็นที่ระลึกก็สั่งจองได้วันนั้น ฉบับละ 30 บาท∞
∞เฮ้อ... 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ใครจำได้บ้างว่าเป็นวันคุ้มครองโลก หรือวันเอิร์ธเดย์ แหมก็เห็นข่าวคราวซะเงียบกริบยิ่งกว่าลมหายใจซะอย่างนั้น ถ้า "หนูไซน์ฯ" ไม่ตกข่าวก็ไม่เห็นมีหน่วยงานรัฐหน่วยไหนออกมาจัดกิจกรรมบ้างเลย ทั้งที่กระแสสิ่งแวดล้อมไม่มา "บูม" ช่วงนี้แล้วก็ไม่รู้จะเอาไปบูมกันช่วงไหน...
...ที่เห็นก็มีแต่ "กรีนพีซ" เจ้าเก่านั่นแหละที่จัดเสวนาและฉายหนัง "The 11th Hour" ที่อำนวยการสร้างโดยพ่อหนุ่ม "ลีโอ" เพื่อตีแผ่ปมปัญหากันด้วยมุมมอง 50 นักวิชาการทั่วโลก โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากอัล กอร์ ผู้นำ "An Incovenient Truth" มาสร้างกระแสโลกร้อนซะจนได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ...
...ใครที่ไปดูไปชมวันนั้น จะมีบ้างไหมหนอที่รู้สึกเหมือน "หนูไซน์ฯ" ว่าเจ้า "The 11th Hour" ของหนุ่มลีโอนั้นช่างมีน้ำเสียงกระแทกแดกดันมนุษย์จริงๆ ว่าเป็นตัวทำลายโลก (ซึ่งส่วนมากก็ถูกอ่ะนะ) และชี้ว่าค่านิยมที่มนุษย์ตีค่าตัวเองไว้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาและลัทธิบริโภคนิยมถือเป็น 2 สาเหตุหลักของปัญหาภาวะโลกร้อน...
...ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันมีมนุษย์อยู่บนโลกกว่า 6 พันล้านด้วยการโอบอุ้มของเทคโนโลยีการผลิตซึ่งต้องใช้พลังงาน แต่หากวันใดไร้ซึ่งพลังงาน (หรือไม่อาจใช้พลังงาน) และเทคโนโลยีพวกนี้ใช้การไม่ได้อีก ศักยภาพของโลกกลับจะรองรับผู้อยู่อาศัยได้อย่างเก่งพันล้านคน แล้วอีก 5 พันล้านคนที่เหลือล่ะจะไปอยู่ที่ไหน? คำถามนี้เป็นคำถามที่ต้องตอบ...
ทางแก้ที่บรรดานักวิชาการเสนอในสารคดีคือ ความมัธยัสถ์ (คุ้นๆ ไหม) และการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางเศรษฐศาสตร์ในแบบที่สอดคล้องกับธรรมชาติของโลก เพราะโลกอยู่ได้แม้ไม่มีคน แต่คนอยู่ไม่ได้แน่ถ้าไม่มีโลก∞
∞วิกฤตข้าวแพงทำเอาปั่นป่วนไปทั่วโลกไม่แพ้น้ำมันแพง ดูเหมือนจะเป็นโอกาสทองของชาวนาไทย แต่ไหงพวกเขาก็ยังไม่ร่ำรวยได้เป็นเศรษฐีข้าวเหมือนกับพวกแขกที่เป็นเศรษฐีน้ำมันกันซ้ากที แถมคนไทยทั้งชาติก็ยังต้องกินข้าวราคาแพงไปกะเค้าด้วยเหมือนกัน...
...พอถามไถ่กับสุดยอดนักวิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าวของไทย "รศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร" ว่างานวิจัยของอาจารย์พอจะมีวิธีช่วยให้ข้าวราคาถูกลงบ้างได้ไหมเจ้าค่า ฮั่นแน่! อาจารย์ก็ตอบกลับแบบมีมุกซะด้วยว่า "ใครว่าล่ะ งานวิจัยของอาจารย์ยังจะทำให้ข้าวแพงยิ่งขึ้นไปอีกล่ะสิไม่ว่า"
...คิดไปคิดมาก็ถูกของอาจารย์เค้า ที่มีเจตนาแต่แรกแล้วว่าจะมุ่งวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าข้าวให้เกษตรกรไทย เพราะข้าวอยู่ในสถานะด้อยค่าและไร้ราคาในสายตาชาวโลกมานานนับสิบๆ ปี แหมจะว่าไปแล้ว "หนูไซน์ฯ" ก็อยากให้อาจารย์ช่วยวิจัยให้คนไทยได้กินข้าวดีๆ ราคาถูกๆ (แต่ขายพวกประเทศร่ำรวยแพงๆ) จะได้ไหมเจ้าคะ...∞
∞โอ๊ย...จั๊กกะเดียมรูหู จั๊กกะจี้ลูกตาจริงๆ...เมื่อวานก่อน "หนูไซน์ฯ" เหลือบไปเห็นสกู๊ปเด็ดของ นสพ.ย่านประชาชื่น พาดหัว "วุฒิพงศ์ ฉายแสง ผู้พิสมัยวิทยาศาสตร์" ความรู้สึกปะแล่มๆ ก็ท่วมท้นเกินจะเก็บไว้ในอกและรู้สึกสากลิ้นแทนจริงๆ ไอ้ครั้น ฯพณฯท่านจะพิสมัยวิทยาศาสตร์มากมายขนาดไหน ก็ยังไม่เคยมีใครส่งแบบทดสอบวัดแววความสนใจวิทยาศาสตร์ให้ ฯพณฯ ทำสักราย...
"หนูไซน์ฯ" ไม่วิจารณ์และไม่พูดอะไรดีกว่า แต่ที่อยากจะทวงถาม กุมภาฯ มีนาฯ และเมษาฯ 3 เดือนที่ผ่านมา ฯพณฯ ท่านมีผลงานอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ย้ำว่า "สังคม" ออกมาจริงๆ สักชิ้นให้สมกับคำเยินยอบ้าง ยกเว้นที่เห็นก็แต่ "ยูคาฯ ผลิตไบโอออยล์" และ"ปลาร้าจืด" และ "เสื้อนาโนสาดน้ำสงกรานต์ไม่เปียก" นั่น ซึ่งก็ไม่รู้คิดออกมาเพื่อใครกัน...
...เพราะหากเป็นเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อนวิทยาศาสตร์อาจไม่สำคัญเท่าวันนี้ แต่ถ้าจะเป็นอย่างนี้ต่อไปก็เห็นจะน่าเป็นห่วงมิใช่น้อย ขนาดรัฐมนตรีนักวิทย์ระดับศาสตราจารย์จากเมืองนอกเมืองนายังอ่วมกับงานกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มาแล้ว บัณฑิตนิติศาสตร์รามฯ ก็น่าจะไม่ได้มีภาษีตรงไหนดีกว่าเลย∞
∞ส่วนนี่ ก็ไม่นึกเลยว่าเจ้าอวกาศอย่างพี่หมีขาวก็เชื่อไสยศาสตร์กะเค้าด้วยเหมือนกัน ยานโซยุซตกห่างจากเป้าไปหลายร้อยโล พี่หมีก็ตระหนกว่าอาจเป็นเพราะ "อาถรรพ์นักบินหญิงมากกว่าชาย" ซะงั้น...แต่เรื่องความเชื่อก็ห้ามกันไม่ได้ด้วยสิเจ้าคะ พี่ไทยยังเชื่อเป็นตุเป็นตะไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง...
...ขนาด "ทั่นวุฒิพงศ์" ยังเป็นกังวลที่คนไทยที่นับถือศาสนาที่มีเหตุผลอย่างศาสนาพุทธ แต่กลับไม่ค่อย "คิดเป็นวิทยาศาสตร์" เท่าไหร่ เลยไม่ค่อยคิดช่วยกันปลูกป่าเศรษฐกิจมาเรียกฝนให้ตกในประเทศเรา แถมยังจะได้เงินเข้ากระเป๋าอีกอื้อเพราะจะได้ขายไม้และน้ำมันที่กลั่นจาก "ไม้โตเร็ว" ได้มากโข...พี่น้องลองไปคิดดูกันนะเจ้าคะ∞
∞ "ธีออส" ชื่อนี้คือชื่อของดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติดวงแรกของไทย มูลค่ากว่า 6 พันล้านฯ ยังจำกันได้ไหมเอ่ย? "หนูไซน์ฯ" หยิบมาพูดก็ด้วยเกรงว่าจะมีใครป่วยเป็นอัลไซเมอร์จนหลงลืม เพราะจนบัดนี้ "ธีออส" ก็ยังไม่ทะยานฟ้า หลังจากเลื่อนกันมาสี่ซ้าห้ารอบ ทั่น "ธงชัย จารุพพัฒน์" เจ้าขา ท่านว่าอย่างไรบ้างค่ะ? เพราะเท่าที่ได้ยินมา ไม่ทันได้ส่งธีออสก็ตกรุ่นไปไม่รู้เท่าไหรแล้ว ยิ่งปล่อยให้ช้าไปจะเป็นยังไง "หนูไซน์ฯ" ไม่กล้าคิด∞
∞ท้ายสุดนี้ "หนูไซน์ฯ" ขอแสดงความยินดีด้วยกับ 4 นักวิจัยหญิง จาก 2 ค่ายใหญ่ ทั้งจุฬาฯ และ สวทช. ที่มุ่งมั่นฟันฝ่าอุปสรรคและความยากของศาสตร์สาขานี้ จนสร้างสรรค์ผลงานวิจัยดีๆ ที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ และเข้าตากรรมการจนได้รับทุนวิจัยชื่อกิ๊บเก๋ "เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์" จากเครื่องสำอางยี่ห้อดัง เป็นของขวัญและกำลังใจ งานนี้แต่ละคนเลยได้รับทุนไปต่อยอดผลงานกันเหนาะๆ อีกคนละ 2 แสนบาทขาดตัวเจ้าค่า∞
∞เม้าท์กันมาพอหอมปากหอมคอ... "หนูไซน์ฯ" ต้องขอลาไปก่อน ผองเพื่อนที่อยากร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนก็ส่งเสียงมาได้ที่ "scigossip@gmail.com" นะเจ้าคะ...∞