xs
xsm
sm
md
lg

“ฮ่วมใจ๋ ฮ่วมก่อสุข(ภาวะ)” ลำปางบ้านเฮา เมืองที่ไม่ใช่แค่ “อยู่ได้” แต่ต้อง “อยู่ดี”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในยุคที่โลกเผชิญทั้งโรคระบาด ความเครียดสะสม และพฤติกรรมเสี่ยงที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ คำว่า “สุขภาพดี” อาจไม่ได้หมายถึงการไม่เจ็บป่วยทางกายอีกต่อไป แต่ต้องหมายถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างรอบด้านตั้งแต่ เกิด ไปจนถึง ลมหายใจสุดท้าย
 
และ จังหวัดลำปาง กำลังพิสูจน์ว่า แนวคิดนี้สามารถเป็นจริงได้ผ่านการขับเคลื่อนงานด้านสุขภาวะอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มวางรากฐาน “ส่งเสริมสุขภาพในทุกช่วงวัย” มุ่งลดพฤติกรรมเสี่ยงด้านสุขภาพของเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ ผ่านการสร้างความรู้เรื่องโภชนาการที่เหมาะสม พร้อมยกระดับความรู้ด้านสุขภาวะอย่างรอบด้าน โดยอาศัยความร่วมมือทั้งจากโรงเรียน ครอบครัว ชุมชน และศูนย์เรียนรู้
 
ควบคู่กับการสร้าง “สุขภาวะทางปัญญา” ที่จะถููกหล่อหลอมผ่านนิสัยรักการอ่าน ไปจนถึงการเรียนรู้แบบเปิดกว้างเพื่อช่วยให้เข้าใจความเจ็บป่วยในบั้นปลายชีวิต

ล่าสุด คณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นำโดย นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุน สสส. และประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 สสส. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สสส. และสื่อมวลชน ลงพื้นที่ จ.ลำปาง ภายใต้โครงการ “ฮ่วมใจ๋ ฮ่วมก่อสุข(ภาวะ)” เพื่อศึกษาถอดบทเรียนแนวทางการพัฒนาสุขภาวะในระดับพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง
 
ลำปางโมเดลที่ว่าจะเป็นอย่างไร MGR Online จะพาทุกคนไปเรียนรู้พร้อมกันผ่านการลงพื้นที่จริงในครั้งนี้
 
จุดพลังสุขภาวะในโรงเรียน 
พัฒนาการเด็ก เริ่มต้นที่ “สามเหลี่ยมสมดุล”

มากกว่า 1 ปีที่ จ.ลำปาง เริ่มต้นวางรากฐานการดูแลสุขภาพตั้งแต่ในระดับ “โรงเรียน”

อย่างที่รู้กันว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาเด็กอ้วน น้ำหนักเกิน หรือมีภาวะขาดสารอาหาร กลายเป็นหนึ่งในเรื่องท้าทายของโรงเรียนหลายแห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพฤติกรรมการบริโภคของเด็กไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม การกินผักผลไม้น้อย และการเคลื่อนไหวน้อยลง

ผลที่ตามมาคือส่งผลให้เด็กไทยมีภาวะอ้วนและเสี่ยงเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มากขึ้น ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามสุขภาพที่สำคัญของคนไทยและอาจนำไปสู่โรค NCDs ในระยะยาว โดยปัจจุบันจะพบว่า ประเทศไทยมีอัตราเด็กอ้วนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของอาเซียน 

นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุน สสส. และประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8
นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุน สสส. และประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 กล่าวระหว่างการลงพื้นว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย โดยมีผู้เสียชีวิตเกือบ 4 แสนคนต่อปี และสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี สสส. จึงเดินหน้าป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคนี้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่กลุ่มเด็ก เยาวชน จนถึงผู้สูงอายุ เพื่อขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืน การจัดกิจกรรมลงพื้นที่ จ.ลำปาง ครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญ คือการเสริมสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานด้านสุขภาวะและเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้

โดยคาดหวังว่า ความร่วมมือระหว่าง สสส. และภาคีเครือข่าย จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของผู้นำการเปลี่ยนแปลงและยกระดับความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาวะของประชาชน นำไปสู่การสร้างแรงบันดาลใจและทัศนคติเชิงบวกต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาวะอย่างยั่งยืน

“สสส. เร่งป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดโรค NCDs ได้ครอบคลุมตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ โดยพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรม ขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ จัดสภาพแวดล้อมด้านอาหารเพื่อสุขภาวะที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้แนวคิด “สามเหลี่ยมสมดุล” เสริมสร้างศักยภาพเด็กนักเรียนจำนวน 3,295 คนให้ตระหนักต่อการสร้างเสริมสุขภาวะ ผ่านเมนูอาหารกลางวันที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ”

“ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้อย่างดีก็คือ การสร้างแรงจูงใจ (Motivation) ให้เด็กเกิดพฤติกรรมตามแนวทางดังกล่าว เพราะหากเด็กมีแรงจูงใจที่เหมาะสม จะส่งผลให้เด็กตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงประถมศึกษาเติบโตอย่างมีคุณภาพ และปลอดจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ”


แนวคิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องสุขภาพเท่านั้น แต่ยังมุ่งให้เกิด “การรู้เท่าทัน” และ “สร้างภูมิคุ้มกัน” ตั้งแต่ต้น นายวิเชษฐ์ เสริมว่า ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ต สามารถเข้าถึงเด็กและเยาวชน รวมถึงผู้ปกครองอย่างกว้างขวางและง่าย ดังนั้น ความจำเป็นในการให้ความรู้แก่เด็กจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากไม่ได้รับความรู้และการสร้างภูมิคุ้มกัน เด็กเหล่านี้จะไม่มีความพร้อมรับมือกับปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามา

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงและปลูกฝังพฤติกรรมในวัยเด็กถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้ความรู้และข้อมูล รวมถึงการสร้างความรู้เท่าทันสื่อ ซึ่งบุคคลที่สามารถทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้ ได้แก่ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา และสุดท้ายคือผู้ปกครอง

“แม้ว่าในสถานศึกษาจะมีการให้ความรู้เรื่องการรู้เท่าทันตามแนวคิดสามเหลี่ยมสมดุล แต่ถ้าเด็กกลับบ้านและผู้ปกครองไม่ได้มีพฤติกรรมที่สอดคล้องกัน ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเช่นเดิม เรื่องนี้จะไม่ยั่งยืนหากรอบโรงเรียนยังเต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง เช่น ร้านค้าขายขนมขบเคี้ยวโซเดียมสูง ความหวาน ความมัน ที่เราอยากให้เด็กลดลงแต่กลับหาซื้อได้ง่ายรอบโรงเรียน ดังนั้น การขยายผลทำงานร่วมกับชุมชนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน”

ขยับมายังภาคการศึกษา นายสุนธร ธรรมสิทธิ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเขลางค์รัตน์อนุสรณ์ จ.ลำปาง เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นว่า โรงเรียนพบปัญหาเด็กนักเรียนมีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนสูงถึง 20.6% หรือประมาณ 679 คน จากเด็กนักเรียน 3,295 คน สาเหตุเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ กินผักและผลไม้ไม่เพียงพอ กินขนมกรุบกรอบ ดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวาน จึงได้ร่วมกับ สสส. พัฒนากระบวนการจัดกิจกรรมเสริมสร้างสุขภาวะ ผ่านโครงการ “ห้องเรียนพ่อแม่” หรือ “The Parents Lab” ภายใต้แนวคิด “สามเหลี่ยมสมดุล” มุ่งสร้างสมดุลให้เด็กมีพัฒนาการดีสมวัย 3 ด้านคือ 1.การรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ 2. การเล่นหรือการขยับร่างกายที่เหมาะสมและ 3.การนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง โดยเน้นการมีส่วนร่วมทั้งในระดับนักเรียนและครอบครัว เริ่มจากการจัดอาหารกลางวันตามหลักโภชนาการ

“กิจกรรมห้องเรียนพ่อแม่ ดำเนินงานด้วยกลยุทธ์ 3 สร้างคือ 1.สร้างความรู้ความเข้าใจ ผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ในการเผยแพร่ความรู้ผ่านกิจกรรม งานครัวสุขภาพ 2.สร้างพื้นที่ให้เด็กมีส่วนร่วม ในการออกแบบสื่อและจัดกิจกรรมปฏิบัติการเพื่อสร้างความเข้าใจผ่านการมีส่วนร่วม เช่น แนะแนวโภชนาการในห้องเรียน ทดลองการจัดจานอาหารสุขภาพแบบ 2:1:1 (ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน และ เนื้อ 1 ส่วน) ทุกสัปดาห์ ควบคู่กับกิจกรรม “ขยับวันละ 60” เพื่อลดพฤติกรรมเนือยนิ่งและ 3.สร้างเครือข่ายความร่วมมือ บ้าน โรงเรียน ชุมชน และหน่วยงานภาคีเครือข่าย เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและขยายผลโครงการสู่กลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง”

นายสุนธร ธรรมสิทธิ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเขลางค์รัตน์อนุสรณ์
นายสุนธร อธิบายต่อว่า โรงเรียนจัดอาหารกลางวันโดยเน้นที่มีผักและผลไม้ตามฤดูกาล พร้อมจัดตารางเมนูอาหารประจำสัปดาห์ร่วมกับคณะกรรมการครูและตัวแทนผู้ปกครอง โดยยึดหลักเกณฑ์ของโครงการ School Lunch ตามแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และความรู้โภชนาการที่ได้รับจาก สสส.

ซึ่งจากการสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนพบว่า เมนูที่ชอบมากที่สุด คือ ข้าวผัดและข้าวซอย

“เด็กนักเรียนของเรามีพฤติกรรมการกินที่ดีขึ้น เห็นได้จากการกินอาหารกลางวันจนหมดจาน และหันมากินผักผลไม้มากขึ้น ขณะเดียวกันผู้ปกครองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่มีภาวะอ้วนหรือผอม ผู้ปกครองให้ข้อมูลกับครูประจำชั้น ทำให้สามารถเราสามารถดูแลเด็กเป็นรายบุคคลได้มากขึ้น มีการติดตามข้อมูลสุขภาพนักเรียนผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้ครูและผู้ปกครองสามารถประสานงานกันได้ต่อเนื่อง นอกจากนั้น เด็กหลายคนยังขาดทักษะการดำรงชีวิต เพราะติดโซเชียลมากเกินไป โรงเรียนก็เสริมสร้างด้านนี้เข้าไปด้วย ซึ่ง สสส. ได้เข้ามาสนับสนุนพร้อมกับการจัดกิจกรรมอบรมทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาพมากขึ้น”

นอกจากนั้น โรงเรียนยังมีกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในด้านอื่นด้วย เช่น การว่ายน้ำเพื่อให้เด็กได้ออกกำลังกาย การสร้างวินัยการนอนของเด็กปฐมวัย และการอบรมครูประจำชั้นเรื่องการเฝ้าระวังสุขภาวะเด็กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมา นอกจากทำให้เด็กเข้าใจโภชนาการตามหลักที่ถูกต้อง ยังส่งผลให้ลดอัตราเด็กที่เคยน้ำหนักเกิน-อ้วนลง 11 คน คิดเป็น 1.6%

ผอ. โรงเรียนอนุบาลเขลางค์รัตน์อนุสรณ์ ทิ้งท้ายว่า เป้าหมายของเราคือการทำให้นักเรียนทุกคนมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะเมื่อนักเรียนมีสุขภาพดี ก็สามารถเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องการให้โรงเรียนเป็น “พื้นที่ปลอดภัย น่าเรียน น่าอยู่ และน่าเชื่อถือ”


ขณะที่ ชณัฐธัญนพ บุญดิเรก หรือ แม่บุ๋ม ตัวแทนผู้ปกครองของนักเรียนหญิงวัย 10 ขวบ เล่าถึงการเข้าร่วมโครงการเสริมสร้างสุขภาวะผ่านกิจกรรม “ห้องเรียนพ่อแม่” ว่า เดิมลูกสาวมีภาวะอ้วน น้ำหนักกว่า 35 กิโลกรัม แม้ยังอยู่ในวัยประถม และมีพฤติกรรมติดหน้าจอ ชอบกินฟาสต์ฟู้ดและบุฟเฟ่ต์ โดยเฉพาะของโปรดอย่างโรตีใส่นมและไก่ทอด จนกระทั่งได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการและได้รับคำแนะนำทั้งด้านโภชนาการ การนอน การออกกำลังกาย และการเสริมสร้างความรู้ให้ครอบครัว ภายใน 3 เดือนก็สามารถลดน้ำหนักลง ได้กว่า 10 กิโลกรัม

นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้วิธีเลือกอาหาร เช่น การเปลี่ยนอาหารว่างหรือผลไม้น้ำตาลสูงเป็นผลไม้ไฟเบอร์สูงแทน รวมถึงดัดแปลงเมนูประจำบ้าน เช่น ใช้นมโรงเรียนทำไข่ตุ๋นแทนน้ำซุป หรือทำบัวลอยจากกล้วยน้ำว้าแทนแป้ง

“พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไปเลย ทำให้ร่างกายดีขึ้น จากเดิมเป็นเด็กอ้วนก็จะช้าเล็กน้อย ขึ้นบันไดเหนื่อยง่าย แล้วพอสรีระเปลี่ยนไป รูปร่างและสัดส่วนดีขึ้นก็ทำกิจกรรมได้มากขึ้น ตอนนี้น้องเป็นนักกีฬาลีลาศของ จ.ลำปาง ส่วนอารมณ์ก็ดีขึ้น สดชื่นขึ้นมากเพราะเดิมทีลูกติดจอ นอนดูแทปเล็ตก่อนนอน จนเผลอหลับไปก็มี แต่พอเข้าห้องเรียนพ่อแม่แล้ว เราก็เปลี่ยนเป็นการเปิดเพลงเบา ๆ งดการใช้จอก่อนนอน หลังจากนั้นการเรียนก็ค่อย ๆ ดีขึ้น จำบทเรียนได้ ไปสอบแข่งขันได้ที่หนึ่งภาคเหนือมาแล้ว”

สุดท้ายแม่บุ๋มสรุปให้ฟังว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงเปลี่ยนเฉพาะลูกสาวตนเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมภายในครอบครัว ปัจจุบันตนเองก็ลดอาหารรสจัดลง พร้อมทั้งได้เรียนรู้แนวทางการดูแลสุขภาพใหม่ ๆ ไปพร้อมกัน ทั้งนี้ขอขอบคุณทางโรงเรียนและ สสส. ที่ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการดี ๆ ให้เกิดขึ้น

นายสังข์ กาญจนเพิ่มพูน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาลำปาง
สร้างเมืองสูงวัยสุขภาพดี

ก่อนลงลึกถึงแนวทางการดูแลสุขภาวะของผู้สูงอายุในพื้นที่ เราลองมาดูตัวเลขเหล่านี้กันก่อน ปัจจุบัน จ.ลำปาง เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2566 ที่ผ่านมา โดยมีประชากรผู้สูงอายุคิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยถึง 28% ของประชากรทั้งจังหวัด สวนทางกับจำนวนเด็กที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในทุกปี

และเพื่อตอบโจทย์สังคมสูงวัย จ.ลำปาง จึงเร่งเดินหน้ายกระดับความรู้และทักษะด้านสุขภาวะให้กับประชาชนในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ผ่านบทบาทของ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาลำปาง ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์เรียนรู้สุขภาวะภูมิภาคที่มุ่งขยายองค์ความรู้ด้านสุขภาพ อาทิ เหล้า บุหรี่ไฟฟ้า โภชนาการ การออกกำลังกาย โรค NCDs

นายสังข์ กาญจนเพิ่มพูน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาลำปาง กล่าวว่า ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาลำปาง เป็น 1 ใน 18 พันธมิตรแหล่งเรียนรู้ทั่วประเทศ ที่ได้รับการสนับสนุนนวัตกรรม เครื่องมือ องค์ความรู้ด้านสุขภาวะ และการพัฒนาศักยภาพเรื่องการสื่อสาร จาก สสส. ทำให้สามารถยกระดับเป็นศูนย์เรียนรู้สุขภาวะภูมิภาคของคนทุกเพศทุกวัย มุ่งส่งเสริมองค์ความรู้ด้านสุขภาวะผ่านการสร้างแรงบันดาลใจ ปรับทัศนคติเรื่องสุขภาพสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาวะที่ดี

ที่ผ่านมาศูนย์ฯ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง สภาผู้สูงอายุจังหวัดลำปาง และชมรมผู้สูงอายุในอำเภอ พัฒนาโครงการอาหารปลอดภัยในผู้สูงอายุ เน้นสร้างเสริมองค์ความรู้ผ่านเมนูอาหารพื้นถิ่นภาคเหนือที่บริโภคเป็นประจำ เช่น ลดปริมาณโซเดียมจากเครื่องปรุง ใช้เครื่องปรุงสมุนไพร รวมถึงพัฒนานวัตกรรมดูโภชนาการอย่างง่ายด้วยสัญลักษณ์ “เขียว-เหลือง-แดง” ช่วยให้ผู้สูงอายุเลือกอาหารได้อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ


ในส่วนของ สสส. นายวิเชษฐ์ กล่าวว่า หนึ่งในกลไกสำคัญที่ สสส. ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องคือ “การส่งเสริมด้านสื่อ” ซึ่งถือเป็นเครื่องมือหลักในการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มีอยู่ของ สสส. ไปสู่ชุมชน โดยผ่านสื่อที่หลากหลาย เข้าถึงได้ง่าย ทั้งนี้ สื่อเหล่านี้ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทของแต่ละชุมชน เพื่อขยายผลการส่งเสริมสุขภาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมส่งเสริมการใช้ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะเช่นที่ จ.ลำปาง ให้เป็นต้นแบบการทำกิจกรรมและขยายผลความรู้ด้านสุขภาพในระดับพื้นที่ โดยเปิดโอกาสให้ภาคีเครือข่ายและหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วม ไม่เฉพาะหน่วยงานสุขภาพเท่านั้น เพื่อขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืนในระดับชุมชนและท้องถิ่น

“ปัจจุบันมีแกนนำชมรมผู้สูงอายุในระดับอำเภอร่วมส่งต่อองค์ความรู้เลือกอาหารที่เหมาะสมกว่า 100 คน ช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี ลดอัตราของโรค NCDs ในพื้นที่ได้อย่างเห็นผล ซึ่งภายในปี 2568 จะมีการขยายผลโครงการไปสู่กลุ่มแกนนำผู้สูงอายุ 8 จังหวัดภาคเหนือ ตอกย้ำความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนงานประเด็นการบริโภคอาหารที่เหมาะสมและปลอดภัยซึ่งเป็น 1 ใน 7 ประเด็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ ภายใต้ทิศทางและเป้าหมายการดำเนินงานระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) ของ สสส.”

“ปลูก” สุขภาวะทางปัญญา
“ปลุก” คนทุกวัยให้คิดเป็น


แน่นอนว่า สุขภาพที่ดีนั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่ร่างกายและจิตใจ หากแต่ยังต้องรวมถึง “สุขภาวะทางปัญญา” หรือความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูล รู้เท่าทัน และมีทักษะในการใช้ชีวิต

สุขภาวะทางปัญญาเป็นมิติที่ถูกพูดถึงมากขึ้นในช่วงหลัง โดยเฉพาะในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารรอบตัว ไม่ใช่เฉพาะกับผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็ก เยาวชน หรือแม้แต่ผู้ป่วยระยะท้ายก็ล้วนต้องการ “ภูมิคุ้มกันทางปัญญา”

ดร.จิรพร วิทยศักดิ์พันธุ์ รองประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 สสส.
​ดร.จิรพร วิทยศักดิ์พันธุ์ รองประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 สสส. เน้นว่าการสร้างสุขภาวะทางปัญญาให้เด็กตั้งแต่วัยประถมเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นช่วงวัยที่เด็กเริ่มสั่งสมทักษะชีวิตสำคัญ ทั้งการเข้าใจตนเอง การสื่อสาร และการจัดการอารมณ์ หากไม่ได้รับการเสริมสร้าง อาจส่งผลให้ขาดทักษะเหล่านี้ในอนาคต โดยเฉพาะเด็กที่ขาดความอบอุ่นจากครอบครัวและไม่ได้รับการส่งเสริมการอ่าน มักพัฒนาทักษะชีวิตได้ช้ากว่า สสส. จึงเน้นกิจกรรมอ่านและสันทนาการเพื่อช่วยให้เด็กเติบโตอย่างรอบด้านและเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต

“สสส. มุ่งพัฒนาระบบสื่อและวิถีสุขภาวะทางปัญญา ควบคู่ไปกับการสร้างเสริมความเข้าใจสุขภาวะ ในมิติการสร้างทักษะรู้เท่าทันสื่อและการมีสุขภาวะทางปัญญาที่ดี โดยสนับสนุนและเสริมศักยภาพให้ จ.ลำปาง พัฒนาเป็นพื้นที่ต้นแบบด้านการสร้างเสริมสุขภาวะทางปัญญา เพราะเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ มีการขับเคลื่อนงานที่เป็นรูปธรรม ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมกลุ่มเด็กปฐมวัยจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ป่วยระยะประคับประคองหรือระยะท้ายของชีวิต”

“มีกลไกการดำเนินงานสำคัญ คือ 1. ส่งเสริมให้เด็กมีทักษะด้านภาษา การสื่อสาร การจัดการอารมณ์ และการใช้ชีวิตอย่างสุขภาวะดี 2. สนับสนุนชุมชนให้พัฒนาอาสาสมัครร่วมสื่อสารคุณค่าการอ่านผ่านกิจกรรมเล่านิทาน และสันทนาการ โดยมุ่งเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก ครอบครัว และผู้แวดล้อมเด็ก 3. บูรณาการทำงานระหว่างภาคีเครือข่ายและหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ ในการเพิ่มสวัสดิการการอ่านให้เด็กและเยาวชน ผ่านการสนับสนุนจากกองทุนสุขภาพตำบล”

หนึ่งในแนวทางที่ สสส. ริเริ่มคือ โครงการพัฒนาสุขภาวะเด็กปฐมวัยด้วยการอ่าน จ.ลำปาง มีการรณรงค์ส่งเสริมการอ่านโดยการส่งมอบชุดหนังสือนิทานเพื่อเด็กปฐมวัย (Book Bank) และนิทรรศการเคลื่อนที่ “อ่านปลอดภัย” พร้อมเทคนิควิธีการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก พร้อมถ่ายทอดเทคนิคส่งเสริมพัฒนาการเด็กผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เล่านิทาน สันทนาการ และการสื่อสารในครอบครัว


ซึ่งส่งผลให้เกิดนักสื่อสารสุขภาวะระดับพื้นที่กว่า 100 คน มีกลุ่มเด็กผู้ได้รับประโยชน์ 4,365 คน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มเด็กเปราะบาง เด็กด้อยโอกาส และเด็กที่ต้องการความดูแลเป็นพิเศษกว่า 735 คน

ด้าน นางสาวสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. มองว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบปัญหาพัฒนาการล่าช้าในเด็กปฐมวัยมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยเฉพาะในด้านภาษา ซึ่งสถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้เกิดภาวะถดถอยด้านการเรียนรู้ในเด็กสูงถึงกว่า 30% สสส. จึงมุ่งเน้นการใช้ “การอ่าน” เป็นเครื่องมือและกระบวนการสำคัญในการพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างรอบด้าน

โดยปีนี้ให้ความสำคัญกับการยกระดับการอ่านให้ตอบโจทย์พัฒนาการทั้งสามมิติ ได้แก่ มิติดั้งเดิม ตามหลักของกระทรวงสาธารณสุขที่ระบุว่า เด็กควรมีพัฒนาการครบทั้ง 4 ด้าน คือ ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และสังคม มิติด้านสมอง โดยเน้นการกระตุ้นพัฒนาการของสมองและเซลล์สมองอย่างเป็นระบบ มิติของทักษะสมองด้านการบริหารจัดการ (Executive Functions: EF) ที่ช่วยให้เด็กรู้จักควบคุมตนเอง วางแผน และคิดวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

นางสาวสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส.
ปัจจัยหนึ่งที่ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านเน้นย้ำว่า “การมีส่วนร่วม” และ “การสร้างนิเวศรอบตัวเด็กให้เข้มแข็ง” คือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนการอ่าน โดยเฉพาะบทบาทของผู้ปกครองและชุมชนที่ต้องเข้าใจวิธีใช้หนังสืออย่างถูกต้อง เช่น การอ่านควบคู่กับการชวนลูกพูดคุยหรือทำกิจกรรมต่อยอดจากเนื้อหา ตัวอย่างเช่น ช่วงโควิด-19 หนังสือ “ปลูกผักสนุกจัง” ถูกใช้ชักชวนครอบครัวปลูกผักที่บ้าน เกิดเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมทั้งสุขภาวะและความสัมพันธ์ภายในครอบครัว หรือหลังโควิด-19 เด็กมีกิจกรรมทางกายน้อยลง จึงใช้ชุด “นิทานร้อง เล่น เต้น อ่าน” กระตุ้นทั้งสมอง ร่างกาย และจินตนาการ

กิจกรรมเหล่านี้ทำให้เด็กมีความสุขจากการได้ลงมือทำ ได้สร้างสรรค์ และเชื่อมโยงการอ่านกับการใช้ชีวิต เช่น การปลูกผักแล้วนำไปขายในตลาดนัดของเทศบาล เกิดการเรียนรู้เรื่องเงินออม ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การอ่านสามารถต่อยอดสู่การใช้ชีวิตได้ ไม่ใช่แค่การอ่านออกเขียนได้ แต่สามารถเชื่อมโยงไปสู่วิถีชีวิตในชีวิตประจำวัน

“หากคุณพ่อและคุณแม่เข้าใจเรื่องการอ่าน จะพบว่า การอ่านหนังสือกับลูกเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่มีหนังสือที่เหมาะสมกับวัย อ่านหนังสือให้ลูกฟัง โดยกระบวนการอ่านต้องไม่ขัดกับกระบวนการทางวรรณกรรม เช่น การอ่านชื่อเรื่อง อ่านชื่อผู้แต่ง และอ่านทุกหน้าตามตัวหนังสือ โดยไม่ต้องข้ามหรือเล่าเรื่องระหว่างทาง หนังสือแต่ละเล่มจะใช้เวลาประมาณ 2-5 นาที หลังอ่านจบ คุณพ่อ คุณแม่ควรพูดคุยกับลูกถึงเนื้อหา ความรู้สึกของเด็ก และให้ลูกได้แสดงความคิดเห็น เช่น ลูกรู้สึกอย่างไร ถ้าไม่อยากให้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ ลูกน่าจะมีพฤติกรรมอย่างไร”

“นอกจากนี้ ยังสามารถฝึกทักษะกับเด็กตั้งแต่ปฐมวัยได้ด้วยการใช้หนังสือ หากเป็นหนังสือเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ก็จะช่วยชักจูงให้ลูกได้รับรู้ข้อมูลอย่างถูกต้อง หนังสือที่เราออกแบบไว้จะเป็นสื่อในการพูดคุยกับผู้ปกครอง เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวมากขึ้น พร้อมออกแบบกิจกรรมสร้างสรรค์ที่สามารถชวนลูกทำร่วมกัน ซึ่งเป็นการสร้างความสุขในครอบครัวจริง ๆ”

ขณะนี้มีการดำเนินโครงการใน 13 พื้นที่ ครอบคลุม 11 จังหวัด เด็กปฐมวัยกว่า 16,000 คนได้รับโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาสุขภาวะผ่านหนังสือและการอ่าน ส่วนใน จ.ลำปาง มีหน่วยงานท้องถิ่นที่ร่วมขับเคลื่อนงานส่งเสริมการอ่าน และบรรจุเป็นนโยบายในข้อบัญญัติและเทศบัญญัติ ปี 2567-2568 จำนวน 24 แห่ง ใน 9 อำเภอ ครอบคลุมเด็กและเยาวชน 4,365 คน”


“ชุมชนกรุณา”
โมเดลดูแลชีวิตทั้งกาย ใจ และการจากไป


นอกจากการทำงานกับเด็ก อีกหนึ่งภาพสะท้อนของเมืองสุขภาวะ คือการดูแล “ผู้ป่วยระยะท้าย” อย่างเข้าใจและให้เกียรติ ในอีกมิติหนึ่ง สสส. ยังได้หนุนเสริมแนวคิด “ชุมชนกรุณา” ​โดย ดร.จิรพร วิทยศักดิ์พันธุ์ รองประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 สสส. อธิบายต่อว่า แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้คนในชุมชนได้ “อยู่ดีและตายดี” โดยเฉพาะในช่วงท้ายของชีวิต สสส. สนับสนุนการพัฒนาอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะท้ายระดับตำบลและชุมชนกว่า 20 คน เพื่อส่งเสริมการ ‘อยู่ดีและตายดี’ พร้อมให้ความรู้เรื่องสิทธิของผู้ป่วยระยะท้าย เช่น การแสดงเจตนาไม่ประสงค์รับบริการสาธารณสุขในวาระสุดท้าย เพื่อให้ผู้ป่วย “อยู่อย่างมีความหมาย และตายอย่างมีศักดิ์ศรี” ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจและทัศนคติในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาวะ เพื่อสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ให้ทุกคนในสังคมมีสุขภาพดีทุกมิติ

“กระบวนการที่ สสส. ดำเนินการครอบคลุมทั้งการเตรียมความพร้อมของผู้ป่วยและญาติ การประสานกับทีมแพทย์และพยาบาล ดังนั้น กระบวนการทำความเข้าใจ แจ้งสิทธิ์ และดูแลผู้ป่วยในระยะท้ายจึงเป็นไปอย่างครบถ้วนและต่อเนื่อง เราเชื่อมั่นว่า หากผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจสิทธิของตน ช่วงชีวิตท้ายจะดำเนินไปด้วยความราบรื่น และในที่สุด โมเดลโรงพยาบาลที่เข้าใจสิทธิผู้ป่วยนี้จะขยายผลสู่การสร้าง “ชุมชนกรุณา” ชุมชนที่เกื้อกูลและดูแลซึ่งกันและกัน และหากงานนี้ขยายผลได้เต็มศักยภาพ เมืองลำปางจะกลายเป็น “เมืองกรุณา” ต้นแบบของเมืองที่มีสุขภาวะที่แท้จริง”

นายเอกภพ สิทธิวรรณธนะ เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา สนับสนุนโดย สสส.
ด้าน นายเอกภพ สิทธิวรรณธนะ เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา สนับสนุนโดย สสส. ได้ขยายความถึงแนวทางการทำงานเพิ่มเติมว่า ชุมชนกรุณา ทำงานร่วมกับบุคลากรสุขภาพ บุคลากรในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ในระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ และผู้ขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยมี กลุ่ม KAJAI (ขะไจ๋) เป็นภาคีเครือข่ายแนวหน้า ขับเคลื่อนงานชุมชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี โดยทำงานเชิงพื้นที่ และฝึกอบรมกระบวนการชุมชนหรือนักสื่อสารสุขภาวะ ใช้กระบวนการสุขภาวะทางปัญญาของ สสส. ผ่านกลยุทธ์ในการทำงาน 4 ด้าน ได้แก่ 1. พัฒนาสื่อการเรียนรู้ 2. พัฒนาพื้นที่ปฏิบัติการ 3. บริหารจัดการความรู้ 4. พัฒนาทีมเครือข่าย เพื่อปรับปรุงนโยบายชุมชนและนโยบายการดูแลแบบประคับประคองระดับชาติ มีพื้นที่ในการทำงานร่วมกับหน่วยงานผู้นำการเปลี่ยนแปลงนโยบายท้องถิ่น 21 แห่งทั่วประเทศ

“เริ่มจากการเข้าไปสื่อสารกระบวนการเรียนรู้สุขภาวะช่วงท้ายที่ดี ซึ่งประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ประเด็นแรก คือ ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการดูแลระยะยาว เพื่อให้ทราบว่า เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะท้ายจะมีอาการอย่างไร ครอบครัวจะสามารถรับมือได้อย่างไม่ตื่นตระหนก และรู้วิธีการขอความช่วยเหลือ ประเด็นที่สอง คือ การจัดทำแผนดูแลล่วงหน้า หรือ “พินัยกรรมชีวิต” ซึ่งจะช่วยพิทักษ์สิทธิของผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยระยะท้ายในการแสดงเจตจำนง และให้ครอบครัวหรือบุคลากรสุขภาพสนับสนุนและเคารพเจตจำนงนั้น”

“ประเด็นสุดท้าย คือ การดูแลด้านจิตใจ เพื่อให้สามารถจัดการกับความค้างคาใจของผู้ป่วย โดยอาศัยทักษะส่วนบุคคล เช่น การรับฟัง การสอบถามความรู้สึกและความต้องการ การให้ความมั่นใจ และการคลี่คลายความกังวล ซึ่งจะช่วยให้บุคลากรสุขภาพหรืออาสาสมัครสามารถเข้าถึงความต้องการของผู้ป่วยได้มากขึ้น เมื่อสามารถตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้ ความทุกข์หรือความค้างคาใจก็คลี่คลาย และช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดูแลช่วงท้ายชีวิต ให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ ปราศจากสิ่งค้างคา ไม่ว่า จะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือความเชื่อทางศาสนา”


ซึ่งจากการดำเนินงานมา นายเอกภพ กล่าวว่า เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับบุคคล ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และครอบครัว ได้เรียนรู้การเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างมีสติ ไม่รู้สึกไม่โดดเดี่ยว และวางแผนการตายดี ระดับชุมชน เกิดผู้นำชุมชน อาสาสมัคร แกนนำเยาวชน เข้าใจการดูแลแบบประคับประคอง และมีทักษะการสื่อสารเชิงบวกในการดูแลความเจ็บป่วย ระดับนโยบายและระบบบริการ เกิดความร่วมมือระหว่างชุมชนกับหน่วยบริการสุขภาพ มุ่งเป้าต่อยอดขยายผลสู่ “ตำบลกรุณา” หรือ “เมืองกรุณา”

นอกจากโรงพยาบาลลำปาง ยังมีพื้นที่นำร่องอีก 21 แห่งทั่วประเทศ อาทิเชียงราย เชียงใหม่ และอุบลราชธานี ที่ร่วมขับเคลื่อนงานชุมชนกรุณาอย่างเข้มแข็ง

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า “ความเข้มแข็งของท้องถิ่น” คือหัวใจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนกลไกการทำงานในพื้นที่ให้ก้าวหน้าอย่างมีพลังและประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้ จ.ลำปาง เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาวะที่ยั่งยืน






กำลังโหลดความคิดเห็น