แวดวงอุตสาหกรรมนมเผย "น้ำนมดิบ" ล้นตลาด แต่ผู้ประกอบการนมพาณิชย์กลับตกเป็นแพะรับบาป จาก “มาเฟียนมโรงเรียน” ลดคุณภาพ ผสมน้ำ ทำเด็กไทยดื่มนมไร้คุณภาพ พบไม่อนุมัตินำเข้านมผง แต่กลับบีบให้รับภาระไม่ได้ก่อ ทำขาดแคลนวัตถุดิบ กระทบการผลิต ละเมิดข้อตกลงออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ กระทบภาพลักษณ์ไทย เสี่ยงเจอโต้กลับกระทบส่งออก วอน “นฤมล” ช่วยแก้ปัญหาจริงจัง
วันนี้ (19 มิ.ย.) แหล่งข่าวจากแวดวงอุตสาหกรรมนม ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว MGR Online ว่า ได้รับความเดือดร้อนจากคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม (มิลค์บอร์ด) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชะลอการอนุมัตินำเข้านมผงขาดมันเนยเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปผลิตภัณฑ์นม โดยอ้างว่าน้ำนมดิบในประเทศล้นตลาด ทั้งที่ความจริงเกิดจากการทุจริตโครงการนมโรงเรียน อีกทั้งนมไม่มีคุณภาพ มีนักเรียนไม่ได้ดื่มนม เกษตรกรประสบปัญหานมล้นตลาด แต่กลับโยนให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์รับภาระ ตกเป็นแพะอย่างไม่เป็นธรรม ส่งผลทำให้ขาดแคลนวัตถุดิบ กระทบต่อภาคการผลิต อีกทั้งละเมิดข้อตกลงทางการค้ากับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เรียกร้องให้ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ แก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าว
แหล่งข่าวระบุว่า เดิมโครงการนมโรงเรียน เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย เมื่อปี 2535 โดยมีกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้รับผิดชอบ แต่ละปีใช้งบประมาณราว 14,000 ล้านบาท ใช้การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ ไม่ใช้การประมูล โดยให้สิทธิกับผู้ประกอบการรายย่อย กลายเป็นการเปิดช่องให้เกิดขบวนการ “มาเฟียนมโรงเรียน” โดยผู้ประกอบการรายย่อย ที่ผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ หรือนมถุง ซึ่งไม่ได้ทำนมพาณิชย์จำหน่าย
ที่ผ่านมามีการเซ็นเอ็มโอยูเพื่อจัดซื้อน้ำนมดิบเข้าโครงการนมโรงเรียนที่ 1,894 ตันต่อวัน แต่ในความเป็นจริงกลับมีมีโควตานมเพื่อผลิตโรงเรียนเพียง 951 ตันต่อวันเท่านั้น ส่วนนมที่เกินไม่มีที่รองรับเกิดเป็นปัญหานมล้น เนื่องจากผู้ประกอบการเกือบทั้งหมดเป็นรายเล็ก ไม่ได้ทำนมพาณิชย์ที่สามารถส่งไปจำหน่ายตามท้องตลาดได้ จึงมักร้องเรียนให้ทางราชการช่วยเหลือ นอกจากนี้ โครงการนมโรงเรียนกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบในการรับซื้อนมจากเกษตรกรตลอดปี 365 วันและมีแผนรองรับนมส่วนเกินจากโควตาที่ได้รับ ซึ่งโดยปกติเกษตรกรต้องรีดนมวัวทุกวัน แต่ส่งนมให้โรงเรียนได้เฉพาะวันเปิดภาคเรียน 260 วันเท่านั้น จึงทำให้นมที่ไม่ได้ส่งมอบล้นตลาดทุกปีในช่วงปิดเทอมโดยไม่มีแผนรองรับและไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อศูนย์รวบรวมนมดิบหรือฟาร์มคู่สัญญา โดยนมพาสเจอร์ไรซ์ หรือนมถุง มีอายุการเก็บรักษาเพียง 10 วัน นับจากวันที่ผลิตเท่านั้น อีกทั้งพบปัญหานมโรงเรียนไม่ได้คุณภาพ มีการผสมน้ำ เกิดการเน่าเสีย หรือตรวจพบเชื้อจุลินทรีย์เกินกว่ามาตรฐาน
- แฉระบบ "มาเฟียนมโรงเรียน" ครอบงำ-ทุจริต
แหล่งข่าวระบุอีกว่า โครงการนมโรงเรียนมีการทุจริตหลายรูปแบบ เช่น ผู้ผลิตใช้วิธีผสมน้ำเพื่อลดต้นทุน น้ำนมไม่มีคุณภาพ หรืออาจไม่ได้ส่งนมจริง ซึ่งการทุจริตดังกล่าวมีระบบ “มาเฟียนมโรงเรียน” ครอบงำการจัดสรรน้ำนมดิบ และมีอิทธิพลต่อการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานในระบบนมโรงเรียนมาโดยตลอด ทำให้การตรวจสอบทุจริตเป็นไปได้ยากและไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด
ปัญหาทุจริตนมโรงเรียนยังส่งผลกระทบถึงผู้ประกอบการนมพาณิชย์ เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงเกษตรฯ พยายามโยนบาปให้ภาคเอกชนด้วยการบีบให้ร่วมกันรับซื้อน้ำนมดิบที่ล้นตลาดทุกวัน เพื่อแบ่งเบาภาระของกระทรวงเกษตรฯ และ อ.ส.ค. โดยอ้างว่าเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ทั้งที่เกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาดและการทุจริตไม่รับผิดชอบของโครงการนมโรงเรียน จากการกำหนดให้รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร 365 วัน แต่ส่งนมให้โรงเรียนได้เฉพาะวันเปิดภาคเรียน 260 วันเท่านั้น นอกจากนี้ ยังกล่าวอ้างเหตุผลดังกล่าวมาจำกัดอนุมัตินำเข้านมผงจากต่างประเทศ เพียง 35% จากที่ภาคเอกชนยื่นขอไว้ ทั้งที่ประเทศไทยได้ลงนามข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เมื่อ 20 ปีก่อน และมีผลบังคับเต็มรูปแบบในปีนี้ แต่ไทยกลับละเมิดข้อตกลงดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศไทย เสี่ยงต่อการฟ้องร้องเป็นคดีความ และรัฐบาลอาจเกิดค่าโง่ตามมา
กระทรวงเกษตรฯ ยังบีบให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ช่วยรับซื้อนำนมดิบแทนผู้ประกอบการนมโรงเรียน ขณะที่ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ได้รับผลกระทบ เพราะวัตถุดิบไม่เพียงพอ เมื่อสอบถามกลับได้รับคำตอบว่าน้ำนมดิบจากโครงการนมโรงเรียนยังเหลือ ให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์มาซื้อมาทำเป็นนมผง ซึ่งทำไม่ได้เพราะต้นทุนการผลิตสูงกว่านมผงนำเข้าถึง 2 เท่า
- หวั่นออสฯ-นิวซีแลนด์ตอบโต้ทางการค้า
ปัจจุบันภาคเอกชนมีทั้งผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม มากกว่า 10 บริษัท และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารที่ใช้นมผงขาดมันเนยเป็นวัตถุดิบ เช่น นมเปรี้ยว ไอศกรีม เครื่องดื่ม น้ำผลไม้ อาหารสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ขนม มากกว่า 40 บริษัท จำเป็นต้องนำเข้านมผงขาดมันเนยจากต่างประเทศเป็นวัตถุดิบในการผลิต ร่วมกับน้ำนมดิบจากเกษตรกรในประเทศ เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออก เนื่องจากน้ำนมดิบในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ นมส่วนใหญ่นำไปจดเอ็มโอยูกับโครงการนมโรงเรียน ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ไม่สามารถซื้อนมจากโครงการนมโรงเรียนได้โดยตรง เพราะเป็นนมมีเจ้าของที่ภาครัฐอุดหนุนงบประมาณผ่านสถานศึกษามาแล้ว
การที่กระทรวงเกษตรฯ ไม่อนุมัติการนำเข้านมผง โดยอ้างเรื่องนมโรงเรียนล้นตลาด และโยนให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ตกเป็นแพะรับบาป สร้างความไม่เป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการนมอย่างยิ่ง ขณะที่ผู้ประกอบการต้องวางแผนการสั่งซื้อและนำเข้านมผงเพื่อใช้ในการผลิต ซึ่งต้องสั่งซื้อล่วงหน้าหลายเดือนกว่าที่จะได้นมผงเข้ามาใช้ในการผลิต เมื่อขาดแคลนวัตถุดิบก็เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง สูญเสียรายได้ เสียโอกาสทางธุรกิจในการเติบโตของตลาดอาหารและนม รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท และประเทศไทยเสียความน่าเชื่อถือเพราะละเมิดข้อตกลงทางการค้ากับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
หากทั้งสองประเทศออกมาตรการตอบโต้ทางการค้า อาจเสียหายถึงสินค้าส่งออกจากประเทศไทย ไม่ต่างจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ และกระทบความเชื่อมั่นของสหภาพยุโรป (EU) ที่ไทยกำลังเจรจาเอฟทีเอในขณะนี้ จึงอยากให้ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ลงมาแก้ปัญหาการทุจริตนมโรงเรียนที่เกิดขึ้นอย่างยาวนาน แก้ไขระบบจัดซื้อจัดจ้างใหม่ให้เกิดความโปร่งใส และแข่งขันอย่างเป็นธรรม เพื่อให้เด็กไทยได้ดื่มนมอย่างมีคุณภาพ และอนุมัตินำเข้านมผงตามข้อตกลงเอฟทีเอ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไป รวมทั้งส่งเสริมเกษตรกรด้วยการตั้งกองทุน FTA พร้อมกับพัฒนาระบบจัดการฟาร์มโคนมให้มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนการผลิตไปพร้อมกัน
- คาดนมโรงเรียนค้างสต็อกพันล้านกล่อง
ด้านนายปรีติ เจริญศิลป์ สส.พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม ระบุว่า กมธ.ได้เชิญเกษตรโคนมและผู้ประกอบการนม รวมทั้งลงพื้นที่พบผู้ประกอบการเพื่อรับทราบข้อมูล พบว่าปัญหาที่สำคัญ คือ ปัญหาเด็กนักเรียนได้กินนมโรงเรียนล่าช้าทั่วประเทศ โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ระบุว่า ในช่วงเปิดเทอมวันแรกนักเรียนได้กินนมโรงเรียนเพียง 5,200 โรงเรียน จากทั้งหมด 26,600 โรงเรียน หรือ 19.55% เท่านั้น ซึ่งความล่าช้าเกิดจากการออกประกาศหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตานมโรงเรียนล่าช้าของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
อย่างต่อมา คือ ปัญหานมล้นทั้งระบบ ได้แก่ น้ำนมดิบและนมโรงเรียน เพราะโครงสร้างการบริหารจัดการของมิลค์บอร์ด และคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน (บอร์ดนมโรงเรียน) ที่มีปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธานมีการบริหารจัดการแยกกัน ทั้งการเซ็นเอ็มโอยูซื้อนมดิบที่จะเกิดขึ้นในเดือน ต.ค. ของทุกปี แต่ได้รับสิทธิโควตานมโรงเรียนช่วงเดือน พ.ค. ของปีถัดไป ซึ่งกลุ่มที่ซื้อน้ำนมดิบตั้งแต่เดือน ต.ค. เพื่อหวังจะได้โควตานมโรงเรียนมีมากถึง 1,894 ตันต่อวัน แต่มีโควตานมโรงเรียนจริงเพียง 951 ตันต่อวันเท่านั้น
"หมายความว่ากลุ่มที่ซื้อนมโรงเรียนตั้งแต่เดือน ต.ค. เพื่อหวังจะได้โควตานมโรงเรียน จะไม่ได้รับสิทธิประมาณครึ่งนึง ผล็คือกลุ่มที่ไม่ได้รับสิทธิประมาณครึ่งหนึ่ง จะกลายเป็นนมที่ล้นในระบบ ซึ่งมีประมาณ 943 ตันต่อวัน ผู้ซื้อนมเหล่านี้ต้องหาที่ปล่อยนมหรือนำนมมาบรรจุใส่กล่อง UHT นมโรงเรียน เพื่อรักษาอายุการเก็บได้นานขึ้น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเรื่อยมาทุกปี คาดว่าในระบบมีนมโรงเรียนแบบกล่อง UHT ค้างสต็อก 1,000 ล้านกล่องทั่วประเทศที่รอการระบายออก" นายปรีดี กล่าว
ทั้งนี้ นมโรงเรียนที่นักเรียนได้ซึ่งควรจะได้รับเป็นนมพาสเจอไรซ์แบบถุง ที่มีคุณค่าทางสารอาหารมากว่านมกล่อง UHT แต่นักเรียนมักได้รับนมกล่องแทน เพราะเป็นการระบายสต็อกนม แม้จะมีการเปลี่ยนช่วงเวลาการจัดสรรนมโรงเรียนและการเซ็นเอ็มโอยูเป็นช่วงเวลาเดียวกัน ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหานมล้นได้ เว้นแต่มีการปรับเพิ่มการบริโภคนมโรงเรียนจากเดิม 260 วัน เป็น 365 วัน เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ได้รับโควตานมโรงเรียนสามารถระบายนมโรงเรียนออกไปได้ในปริมาณเท่า ๆ กัน
- เตือน ก.เกษตรฯ แหก FTA ไทยไร้เชื่อถือทางการค้า
กมธ. ได้รับร้องเรียนจากหลายภาคส่วนถึงวิธีการจัดสรรโควตานมโรงเรียนที่เปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมา ทั้งการกำหนดพื้นที่ใหม่ การกำหนดสัดส่วนใหม่ของแต่ละกลุ่ม ถึงการออกประกาศหลักเกณฑ์การจัดสรรที่สุ่มเสี่ยงจะผิดกฎหมาย กล่าวคือ มีการเปิดรับสมัครให้ผู้ประกอบการเข้าโครงการรับสิทธิโควตานมโรงเรียนไปแล้ว แต่ก็ยังมาประกาศหลักเกณฑ์การจัดสรรเพิ่มเติมในวันสุดท้ายของการรับสมัคร ซึ่งเกิดคำถามว่า การออกประกาศแบบนี้ ส่อไปในทางเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการบางราย ให้ได้รับโควตานมโรงเรียนมากกว่าเดิมหรือไม่ รวมถึงข้อร้องเรียนของสถาบันการศึกษา ที่ปีนี้แทบไม่ได้รับโควตานมโรงเรียนเลย
ที่สำคัญ ปัญหาการบริหารจัดการนมโรงเรียนผิดพลาด ส่งผลต่อการปฎิบัติที่อาจละเมิดข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และยังส่งผลกระทบถึงผู้ประกอบการนมพาณิชย์ เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงเกษตรฯ หยิบยกสถานการณ์น้ำนมดิบล้นตลาดจากโครงการนมโรงเรียน มากล่าวอ้างในการจำกัดการนำเข้านมผงจากต่างประเทศ โดยอนุมัติการนำเข้าเพียง 35% จากที่ภาคเอกชนยื่นขอไว้ ทั้งที่ประเทศไทยได้ลงนามเอฟทีเอ ซึ่งมีผลบังคับเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา
การห้ามนำเข้านมผงนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ผิดวิธีของทางกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศและกรมการค้าระหว่างประเทศได้แจ้งเตือนไปแล้วด้วย การไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศสร้างความไม่เป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการนมพาณิชย์ ส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมนม ขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามแผน จนต้องหยุดสายการผลิตในบางช่วง และนำไปสู่ปัญหาสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดนมพาณิชย์ รวมทั้งส่งผลให้อุตสาหกรรมนมหดตัวและกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งมีผลเสียเป็นวงกว้างต่อความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ไทยกำลังเจรจาเอฟทีเอฉบับใหม่กับ สหภาพยุโรป ซึ่งกำลังติดตามท่าทีของไทยในประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด
- แฉปลัดเกษตรฯ เงียบหาย อ.ส.ค.ตัดสินใจไม่ได้
นายปรีดี กล่าวว่า หลังจาก กมธ. ได้ทราบปัญหาเหล่านี้ จึงได้เชิญปลัดกระทรวงเกษตรฯ ในฐานะประธานมิลค์บอร์ด และประธานบอร์ดนมโรงเรียนมาให้ข้อมูล เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ที่ผ่านมา พร้อมทั้งขอเอกสารประกอบการพิจารณา เพื่อจะนำไปแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม ปรากฏว่าในวันดังกล่าวปลัดกระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้มาร่วมประชุม แต่มอบหมายให้ตัวแทน อ.ส.ค. มาประชุมแทน แต่ก็ไม่สามารถตอบคำถามได้ชัดเจน และตัดสินใจอะไรแทนปลัดไม่ได้ ประกอบกับข้อมูลที่ กมธ. ได้ทำหนังสือขอไปล่วงหน้าหลายรายการ เกี่ยวกับข้อมูลการจัดสรรนมโรงเรียน การทำเอ็มโอยูซื้อนม ก็ไม่ได้นำมาให้กับ กมธ. พิจารณาแต่อย่างใด
"ผมเห็นว่าปลัดกระทรวงเกษตร ฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหานมโรงเรียน รวมทั้งความเดือดร้อนของเกษตรกรโคนม และผู้ประกอบการนมในเรื่องนมล้น อีกทั้งไม่ให้การสนับสนุนข้อมูลเพื่อให้การแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นไปอย่างรอบครอบ จึงขอเรียกร้องให้ทาง รมว.เกษตรและสหกรณ์ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงปลัดกระทรวงเกษตรฯ ที่บริหารงานบกพร่อง ทำให้เด็กนักเรียนไม่ได้กินนมโรงเรียนทันในช่วงเปิดเทอม รวมทั้งการไม่ให้ความร่วมมือกับคณะ กมธ.) ในการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นมฉบับนี้"
ขณะเดียวกัน ยังเรียกร้องให้พิจารณาดำเนินการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการบริหารนมทั้งระบบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหานมล้นอันเนื่องมากจากนมโรงเรียน และเตรียมพร้อมการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการนมทั้งระบบให้พร้อมก่อนการลงนาม MOU การซื้อนมในเดือน ต.ค. 2568 ที่จะมาถึง การผลักดันให้เด็กนักเรียนได้ดื่มนมโรงเรียนครบ 365 วัน ช่วยระบายสต็อกนมโรงเรียน และช่วยเหลือเกษตรกรโคนมไปด้วย และพิจารณาให้หยุดการกระทำที่อาจเป็นการละเมิดข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศในทันที เพื่อป้องกันปัญหาอื่นๆ ที่อาจตามมากับประเทศไทยในอนาคต