อัปเดตสายพันธุ์ "โควิด 19" พบ JN.1 และลูกหลานพบสัดส่วนเพิ่มขึ้น ทั้งทั่วโลกและไทย คาดเป็นสายพันธุ์หลักระบาด เผยทั่วโลกพบสัดส่วน JN.1 แล้ว 65.5% ส่วนไทยช่วง ม.ค.พบสัดส่วนเพิ่มเป็น 43.7% จาก พ.ย.ที่พบเพียง 2.2% ส่วนความรุนแรงยังไม่พบเพิ่มขึ้น
เมื่อวันที่ 16 ก.พ. นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงสถานการณ์สายพันธุ์เชื้อโควิด 19 ว่า ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกยังคงให้ความสำคัญกับการติดตามสายพันธุ์โอมิครอน 10 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง หรือ Variants of Interest (VOI) 5 สายพันธุ์ ได้แก่ XBB.1.5*, XBB.1.16*, EG.5*, BA.2.86* และ JN.1* ส่วนสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง หรือ Variants under monitoring (VUM) 5 สายพันธุ์ ได้แก่ DV.7*, XBB*, XBB.1.9.1* XBB.1.9.2* และ XBB.2.3* ทั้งนี้ สถานการณ์ภาพรวมทั่วโลกจากฐานข้อมูลกลาง GISAID รอบสัปดาห์ที่ 52 (วันที่ 25 - 31 ธ.ค. 2566) สายพันธุ์ในกลุ่ม VOI ที่พบมากที่สุด ได้แก่ JN.1* ในสัดส่วน 65.5% ถัดมาคือ EG.5* 16.6% โดย EG.5* มีอัตราการพบที่ค่อยๆ ลดลง แต่ JN.1* พบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบ 28 วัน และจากความได้เปรียบในการเติบโตและคุณลักษณะหลบภูมิคุ้มกัน จึงมีความเป็นไปได้ว่า JN.1* จะเพิ่มมากขึ้นและจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักในระดับประเทศหรือทั่วโลก
ขณะที่สายพันธุ์ในกลุ่ม VUM ที่พบมากที่สุด ได้แก่ XBB.1.9.1* สัดส่วน 1.8% และ DV.7* ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์บนส่วนหนามสองตำแหน่งติดกัน คือ L455F และ F456L มีอัตราการพบที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากฐานข้อมูลกลาง GISAID รายงานการพบสายพันธุ์ DV.7* ทั่วโลกจำนวน 5,275 ราย โดยปัจจุบันยังไม่พบมีรายงานการเพิ่มความรุนแรงของโรค
นพ.ยงยศ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์สายพันธุ์โอมิครอนในไทย ช่วง ต.ค. 2566 สายพันธุ์ลูกผสม XBB.1.9.2* เป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดแทนที่ XBB.1.16* กระทั่งต้นปี 2567 พบว่า XBB.1.9.2* เริ่มลดลง ตั้งแต่ พ.ย.2566 อยู่ที่ 51.9% ธ.ค. 2566 เหลือ 34.7% และ ม.ค. 2567 28.2% ตามลำดับ ขณะที่ JN.1* มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ยังไม่พบว่ามีระดับความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์เดิม คาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในปัจจุบัน โดย JN.1* มีสัดส่วนการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด 19 สะสมนับตั้งแต่เริ่มพบครั้งแรก ต.ค. 2566 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนถึงปัจจุบัน คิดเป็น 6.66%
ผลการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด 19 ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระหว่างวันที่ 23 ธ.ค. 2566 - 23 ม.ค. 2567 จำนวน 234 ราย พบส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ลูกผสมกระจายทุกเขตสุขภาพ โดย JN.1* พบสัดส่วนมากที่สุดเป็น 33.5% ถัดมาคือ EG.5* เป็น 27.5%, BA.2.86* เป็น 21%, XBB.1.16* เป็น 7.3% (เขตสุขภาพที่ยังไม่พบ JN.1* ได้แก่ เขตสุขภาพที่ 8, 9 และ 10 ส่วนเขตสุขภาพที่ 3 ไม่มีตัวอย่างทดสอบ) สำหรับสัดส่วนของ BA.2.86* เพิ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ย. 2566 อยู่ที่ 11.4% ธ.ค. 2566 เพิ่มเป็น 21.8% และ ม.ค. 2567 เป็น 22.3% เช่นเดียวกับ JN.1* มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ย. 2566 อยู่ที่ 2.2% ธ.ค. 2566 เพิ่มเป็น 20.3% และ ม.ค. 2567 เป็น 43.7%