สบส.เร่งแก้ กม.เปิดทางคู่สมรส “ต่างชาติ” เข้ามาทำอุ้มบุญในไทย ไม่ต้องมีฝ่ายหนึ่งเป็นคนไทยแล้ว พร้อมให้เอาไข่ สเปิร์มออกนอกประเทศได้ หวังเพิ่มรายได้จากการรักษา เตรียมหารือแนวทางให้หญิงไทยลงทะเบียนรับจ้างท้องแทนได้ ชี้ ไม่เข้าข่ายค้ามนุษย์ แต่ทำถูกต้องช่วยแก้ลักลอบอุ้มบุญ
เมื่อวันที่ 13 ก.พ. นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ภาวะมีบุตรยากเป็นโรคที่ได้รับการรักษา ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีอัตราเด็กเกิดน้อย หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อส่งเสริมการเกิด คือ การจัดสิทธิประโยชน์ให้สามารถใช้เทคโนโลยีมาช่วยรักษาภาวะมีบุตรยาก ซึ่ง สบส.เห็นด้วยและเห็นตรงกับที่คณะกรรมการอนามัยเจริญพันธุ์แห่งชาติเสนอ ขณะนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็ให้ความสนใจ และอยู่ระหว่างร่วมกันศึกษาความคุ้มค่าของวิธีการ กลุ่มเป้าหมาย ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพื่อเพิ่มจำนวนการตั้งครรภ์คุณภาพ เพราะวันนี้เรามีปัญหาเด็กเกิดน้อย ครอบครัวที่เริ่มทำงาน มีศักยภาพ แต่มีปัญหาเป็นโรคมีบุตรยาก หากได้มีการบรรจุอยู่ในสิทธิประโยชน์ คนที่เหมาะสมตามข้อกำหนด ก็จะทำให้เราได้เด็กที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ในส่วนนี้สามารถทำได้ไม่ต้องพอการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่อาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ หรือ พ.ร.บ.อุ้มบุญ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก พ.ร.บ.อุ้มบุญ มีการใช้มานานแล้ว จึงอยู่ระหว่างการปรับปรุงกฎหมายบางมาตราเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันในการรักษาภาวะมีบุตรยาก และสอดรับกับนโยบายของประเทศ ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ คือ ให้ชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการรักษา ส่งเสริมสุขภาพในประเทศไทยมากขึ้น แต่ที่ผ่านมายังมีอุปสรรคเรื่องการตั้งครรภ์แทนหรืออุ้มบุญ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนจะได้ข้อสรุปในเรื่องประเด็นที่มีการปรับแก้ ก่อนเข้าสู่กระบวนการรับฟังร่างแก้ไข เข้า ครม. กฤษฎีกา และรัฐสภา ทั้งนี้ ไม่ได้มีการแก้ไขทั้งฉบับ แต่จะแก้บางมาตรา
สำหรับประเด็นที่มีการหารือกันว่าจะมีการแก้ไข เช่น คนที่จะมาอุ้มบุญต้องเป็นคนไทยอย่างน้อย 1 คน ทำให้ที่ผ่านมาเวลาชาวต่างชาติจะเข้ามาทำต้องมีการจดทะเบียนสมรสกับคนไทยก่อน จึงมีการร้องขอมาจากภาคเอกชนว่าเป็นข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เนื่องจากคู่สามีภรรยาชาวต่างชาติเห็นว่าประเทศไทยมีฝีมือทางการแพทย์ด้านนี้ แต่ไม่สามารถเข้ามาทำตรงนี้ได้ ทำให้เกิดปัญหาหลีกหนีระบบ ด้วยการจ้างคนไทยจดทะเบียนสมรส เป็นต้น จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่เราจะแก้ไขให้คู่สามีภรรยาชาวต่างชาติสามารถเข้ามาทำการอุ้มบุญในไทยได้ถูกกฎหมาย ทำให้เข้าสู่ระบบดีกว่า แทนที่จะปล่อยให้มีการเลี่ยงระบบ ทำผิดกฎหมาย
ส่วนการฝากไข่ สเปิร์ม ตัวอ่อน เดิมกฎหมายห้ามไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศ ซึ่งเป็นอุปสรรคเช่นกัน เนื่องจากมีชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เชื่อมั่นในเทคโนโลยีการแพทย์ของไทยจึงต้องการฝากไข่ สเปิร์ม ในไทย แต่พอย้ายไปต่างประเทศกลับไม่สามารถนำออกไปได้ เพราะกฎหมายไม่อนุญาต จึงเลือกไม่ทำตั้งแต่ขั้นตอนแรกในไทย ทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสและรายได้ ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกให้ปัญหาการมีบุตรยากเป็น 1 โรคที่ต้องได้รับการรักษา ดังนั้น หากประเทศไทยทำตรงนี้ให้คนมาลงทะเบียนทำหัตถการได้อย่างถูกต้องก็จะเป็นผลดีกับประเทศ
เมื่อถามว่า กรณีสามีภรรยาชาวต่างชาติจะมาทำอุ้มบุญในไทย ต้องพาหญิงที่รับอุ้มบุญมาด้วยหรือให้หญิงไทยอุ้มบุญแทนได้ นพ.ธเรศ กล่าวว่า มีหลายวิธี เช่น เขาพาคนของเขามาเองก็ได้ หรือมีอีกแนวคิดหนึ่งว่าหรือจะให้คนไทยที่ประสงค์เป็นผู้รับฝากอุ้มบุญ ให้มีการลงทะเบียนอย่างถูกต้อง มีค่าตอบแทนที่ชัดเจน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ยังมีการพูดคุยกันอยู่
ถามต่อว่า หากให้ลงทะเบียนรับจ้างอุ้มบุญจะเข้าข่ายค้ามนุษย์หรือไม่ นพ.ธเรศ กล่าวว่า หากเราทำให้ถูกต้องไม่ใช่การค้ามนุษย์ หลักการคือคนที่ต้องการให้ผู้อื่นอุ้มบุญแทนนั้นเขาจะรับเด็กเป็นลูกจริงๆ อยู่แล้ว ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับกรณีเข้ามาลักลอบจ้างคนอุ้มบุญจำนวนมากแล้วเอาเด็กออกนอกประเทศ ซึ่งไม่รู้ว่าพาเด็กไปทำอะไร เชื่อว่า หากระบบลงทะเบียนให้ชัดเจนจะเป็นประโยชน์ในการควบคุมกำกับ จะแยกคนที่แอบทำเพื่อค้ามนุษย์ กับการช่วยคนที่อยากมีลูกจริงๆ ได้ ซึ่งระหว่างตั้งครรภ์ 9 เดือนนั้นจะมีระบบการติดตามตรวจสอบโดยสถานพยาบาลที่ทำหัตถการและฝากครรภ์ หลังคลอดก็มีการติดตามต่อ
ถามต่อถึงความเป็นไปได้ในการอนุญาตให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศให้มีการอุ้มบุญแทนได้ นพ.ธเรศ กล่าวว่า ส่วนนี้จะอิงตามกฎหมายใหญ่ คือ กฎหมายครอบครัว เพราะ พ.ร.บ.อุ้มบุญ ระบุว่า สามารถทำให้กับคู่สมรสตามกฎหมาย ดังนั้น หากกฎหมายคู่สมรสเปิดให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นคู่สมรสกันตามกฎหมาย การอุ้มบุญแทนก็ไม่มีปัญหารองรับได้เลย นี่เป็นจุดหนึ่งที่เราเห็นอยู่ ในต่างประเทศก็มีการปรับแก้ตรงนี้ เราก็รออยู่ว่ากฎหมายใหญ่ที่เกี่ยวข้องจะเป็นไปในทิศทางใด