สปสช.ขยายผลตรวจสอบ พบทุจริตเงินบัตรทองรวม 86 แห่ง เป็น รพ.เอกชน 8 แห่ง คลินิกเอกชน 73 แห่ง และคลินิกทันตกรรม 5 แห่ง ประสาน สบส. กองปราบปราม ดีเอสไอ ลงพื้นที่ตรวจสอบอายัดเอกสารหลักฐานจาก 2 คลินิกทันตกรรม และ 2 แล็บ สมรู้ร่วมคิดปลอมเอกสาร
วันนี้ (29 ก.ค.) นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วย นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการ สปสช. แถลงข่าว “ความคืบหน้า สปสช.เร่งดำเนินการเอาผิดหน่วยบริการทุจริตเงินบัตรทอง”
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า หลังตรวจสอบพบคลินิกเอกชน 18 แห่งใน กทม. ทุจริตเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ในส่วนของงบส่งเสริมป้องกันโรค โดยจัดทำเอกสารหลักฐานเท็จเพื่อเบิกเงิน โดย สปสช.ได้เดินหน้าเอาผิดทุกช่องทาง ทั้งยกเลิกสัญญา เรียกเงินคืน แจ้งความคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกง คดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นเพื่อเตรียมฟ้องร้องคดีแพ่ง และดำเนินการทางจรรยาบรรณวิชาชีพ ต่อมาตรวจสอบเพิ่มเติมพบคลินิกทันตกรรมอีก 2 แห่ง เบิกจ่ายทุจริตงบบัตรทองลักษณะเดียวกันนี้ โดยมีห้องปฏิบัติการ (แล็บ) 2 แห่ง สมรู้ร่วมคิดปลอมแปลงเอกสารหลักฐานทุจริต โดย สปสช. ได้เข้าแจ้งความคดีอาญาที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว และมอบเอกสารหลักฐาน อาทิ เอกสารสรุปประเด็นความผิด ประเภทความผิด วันและเวลาที่กระทำความผิดโดยการปลอมแปลงเอกสารหลักฐานเป็นเท็จ เพื่อเบิกค่าบริการเพิ่มเติมแห่งละประมาณ 50 ฉบับ ให้กองบังคับการปราบปรามเพิ่มเติม เพื่อความสมบูรณ์ของเอกสารหลักฐานในการดำเนินการทางกฎหมาย
“การเร่งเอาผิดกับคลินิกเอกชน สปสช.ได้ประชุมร่วม 3 หน่วยงาน คือ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และกองบังคับการปราบปราม เพื่อหารือถึงการดำเนินการกับหน่วยบริการทุจริตงบบัตรทอง และวันที่ 29 ก.ค. ทั้ง 3 หน่วยงานได้ร่วมลงพื้นที่คลินิกทันตกรรม 2 แห่ง และห้องแล็บ 2 แห่ง เพื่ออายัดเอกสารหลักฐานพร้อมคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาตรวจสอบตามที่ สปสช.ได้แจ้งเบาะแส พร้อมตรวจสอบบัญชีและธุรกรรมการเงิน ค้นหาส่วนที่เกี่ยวข้องกับความผิด” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ส่วนการขยายผลสุ่มตรวจหน่วยบริการเบิกจ่ายค่าบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคในกลุ่มของโรคเมตาบอลิก ครั้งที่ 1 จำนวน 86 แห่ง พบการเบิกจ่ายข้อมูลไม่ถูกต้อง 63 แห่ง สปสช.จึงขยายการตรวจสอบแบบ 100% พร้อมอายัดเอกสารการบริการและเบิกจ่ายของคลินิกทั้ง 63 แห่ง เมื่อวันที่ 20-24 ก.ค. ได้เอกสารมากกว่า 5 แสนฉบับ ขณะนี้ สปสช. ได้ระดมเจ้าหน้าที่เพื่อเร่งตรวจสอบแล้ว ต่อมาขยายผลตรวจสอบเพิ่มเติมครั้งที่ 2 พบเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นคลินิกทันตกรรม รวมเป็น 66 แห่ง เมื่อรวมกับการตรวจสอบที่พบก่อนหน้านี้ 20 แห่ง เท่ากับ สปสช.ตรวจสอบพบหน่วยบริการเบิกจ่ายข้อมูลเป็นเท็จทั้งสิ้น 86 แห่ง แยกเป็นโรงพยาบาลเอกชน 8 แห่ง, คลินิกเอกชน 73 แห่ง และคลินิกทันตกรรม 5 แห่ง ซึ่ง สปสช. จะนำเอกสารหลักฐานดังกล่าวยื่นต่อกองบังคับการปราบปรามและกรมสอบสวนคดีพิเศษต่อไป
“ในการตรวจสอบ สปสช. ได้ระดมเจ้าหน้าที่ สปสช.จากเขตต่างๆ กว่า 300 คน มาตรวจสอบเวชระเบียนหรือบันทึกการรักษาว่าตรงตามการรายงานในระบบหรือไม่ โดยได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องไม่มีวันหยุดราชการ ซึ่งมีเอกสารเกี่ยวข้องขณะนี้มีมากกว่า 7 แสนฉบับ ต้องใช้ระยะเวลาในกระบวนการตรวจสอบอย่างมาก” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
นพ.การุณย์ กล่าวถึงการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสัญญาคลินิกเอกชน 18 แห่ง ในระบบบัตรทองว่า สปสช. ได้จัดหาหน่วยบริการประจำแห่งใหม่ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ 9 กรกฎาคม 2563 และได้เข้าพบ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 เพื่อประสานความช่วยเหลือในการจัดหาหน่วยบริการรองรับประชาชน ซึ่งท่านยินดีให้ความช่วยเหลือเต็มที่ รวมถึงการดูแลประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากหน่วยบริการที่ สปสช. จะยกเลิกสัญญาเพิ่มเติมหากพบทุจริต ขณะเดียวกัน ได้ประสานไปยังกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆ ร่วมจัดหน่วยบริการรองรับประชาชนในส่วนนี้เช่นกัน โดยเป็นไปตามข้อหารือที่ได้จากการประชุมคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร (อปสข.กทม.)
สำหรับแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต สปสช.ได้วางระบบป้องกันก่อนการเบิกจ่ายและหลังการเบิกจ่าย โดยเมื่อเริ่มต้นบริการได้เพิ่มในเรื่อง Digital Identification เพื่อพิสูจน์ตัวตนผู้รับบริการก่อน เช่น เสียบบัตรสมาร์ทการ์ด หรือพิสูจน์ตัวตนออนไลน์ ให้ผู้รับบริการขอรหัสการบริการจาก สปสช. ยืนยันตัวเองก่อน ส่วนกรณีรายการที่มีค่าใช้จ่ายสูงจะมีกระบวนการ pre-authorization และ pre-audit รวมทั้งจะนำระบบ AI มาช่วยตรวจสอบ และเมื่อให้บริการแล้วหน่วยบริการจะส่งเอกสารหลักฐานเบิกจ่ายมาที่ สปสช. ซึ่ง สปสช.จะดำเนินการตรวจสอบตามระบบ