สปสช.ระดมเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารกว่า 2 แสนฉบับ 18 คลินิกโกงเงิน “บัตรทอง” ครบแล้ว เร่งตรวจสอบอีก 65 แสนกว่าฉบับอีก 63 คลินิก ดีเอสไอชี้ฉ้อโกงซ้ำ ผิด กม.คอมพ์ ฟอกเงิน ด้วย สบส.ขีดเส้น 30 ก.ค. คลินิกต้องปรับปรุงตามมาตรฐาน หากไม่ทำสั่งปิดชั่วคราว กองปราบพร้อมสอบปากคำ ปชช.ถูกอ้างชื่อ
วันนี้ (26 ก.ค.) นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า เมื่อสันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา สปสช.ได้เชิญกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ กองบังคับการปราบปราม เข้าร่วมหารือถึงการดำเนินการกับ 18 ที่มีการทุจริตงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) และขยายผลกับคลินิกที่ตรวจพบการทุจริตอีก 63 แห่งเพิ่มเติม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการ audit มาก เนื่องจากมีเอกสารที่เกี่ยวข้องมากกว่า 7 แสนฉบับ โดยที่ สปสช. จะนำเอกสารหลักฐานดังกล่าวยื่นต่อกองบังคับการปราบปรามและ DSI ต่อไป
“เราใช้เจ้าหน้าที่มากกว่า 300 คน ตรวจสอบเอกสารทั้งวันทั้งคืนและไม่มีวันหยุด โดยล่าสุดตรวจสอบเอกสารกว่า 2 แสนฉบับของคลินิก 18 แห่งเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารของ 63 คลินิก เพิ่มเติมกว่า 5 แสนฉบับ ซึ่งการประชุมที่ผ่านมาเป็นการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อขยายผลการตรวจสอบข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติมให้แน่นหนายิ่งขึ้น” นพ.การุณย์ กล่าว
นพ.การุณย์ กล่าวว่า นอกจากดำเนินการกับ 18 และ 63 คลินิกเสร็จสิ้นแล้ว ทางหน่วยงานยังได้มีมติให้ดำเนินการเท่าเทียม ขยายผลการตรวจสอบไปยังคลินิกทุกแห่งในกรุงเทพมหานคร (กทม.) หลังจากนั้น จะเป็นการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี และขยายไปยังพื้นที่ปริมณฑลต่อไป เป็นการปูพรมโดยไม่มีการละเว้น
นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ DSI กล่าวว่า การตรวจสอบการทุจริตครั้งนี้ จะดำเนินการในส่วนของคดีอาญา ยังไม่นับความเสียหายทางแพ่ง และความผิดทางวิชาชีพที่กำลังดำเนินการอยู่ อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีเอกสารหลักฐานและบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก แต่ละหน่วยงานจึงได้มาแบ่งหน้าที่ร่วมกัน โดย DSI จะเร่งรัดการดำเนินการในทางคดีอาญา และพิจารณาว่ามีหลักฐานเพียงพอหรือไม่ ต้องมีอะไรเพิ่มเติม เพื่อออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินความผิด ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำผิด เป็นการฉ้อโกงซ้ำๆ หลายครั้ง จึงจะมีเรื่องของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.การฟอกเงิน เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นางจันฑนา จินดาถาวรกิจ ผู้อำนวยการกองกฎหมาย สบส. กล่าวว่า ในส่วนของคลินิกทั้ง 18 แห่ง ซึ่ง สปสช.ได้เพิกถอนการเป็นหน่วยบริการไปแล้ว สบส.จึงเข้ามาดำเนินการในฐานะหน่วยงานดูแลกำกับ โดยขณะนี้ทั้ง 18 แห่งมีกำหนดระยะเวลา 15 วันที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งจะครบในวันที่ 30 ก.ค.นี้ หากแก้ไขไม่เสร็จสิ้นก็จะต้องมีคำสั่งปิดชั่วคราว และจะดำเนินการทั้งในด้านมาตรฐานสถานพยาบาล และมาตรฐานวิชาชีพ โดยในส่วนของตัวผู้ประกอบกิจการซึ่งเป็นแพทย์ หากมีความผิดก็ต้องส่งเรื่องดำเนินการไปยังแพทยสภา หรือในส่วนของห้องปฏิบัติการ (Lab) มีความเกี่ยวข้อง ก็จะมีการส่งไปยังสภาเทคนิคการแพทย์ที่ดูแลเรื่องมาตรฐานอยู่ด้วยเช่นกัน
ด้าน พ.ต.ท.ภิรมย์ เมืองไสย รองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม กล่าวว่า หลังจากที่ทางกองปราบฯ ได้รับการร้องทุกข์แล้ว ในด้านคดีเห็นว่ามีพยานบุคคลเป็นจำนวนมาก จึงอยู่ระหว่างการตั้งคณะพนักงานสอบสวน และรวบรวมหลายหน่วยเข้ามาร่วมทำการสอบสวนเพื่อให้คดีรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยในชั้นนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารร่วมกับ สปสช.
“สปสช.จะคัดมาให้เราว่าประชาชน หรือผู้ที่ถูกแอบอ้างชื่อแต่ละคลินิกมีกี่ราย ซึ่งพนักงานสอบสวนก็จะเรียกแต่ละรายมาสอบปากคำ เพื่อยืนยันว่าไม่ได้ไปใช้บริการจริง เป็นการทำเอกสารเท็จ มาประกอบกับข้อกล่าวหาว่าเป็นการฉ้อโกงอย่างไร และในส่วนของพยานหลักฐานด้านอื่นๆ เบื้องต้นทาง DSI จะรับไปติดตามตรวจสอบ ซึ่งการดำเนินงานของทุกหน่วยงานในวันนี้ จะช่วยแบ่งเบาพนักงานสอบสวนได้มาก และทำให้คดีมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น” พ.ต.ท.ภิรมย์ กล่าว