กรมควบคุมโรคเผย 3 ปัจจัย “โควิด” แพร่ระลอก 2 ในไทยจะต่างจากครั้งแรก เชื่อดับสะเก็ดไฟที่เกิดเป็นจุดๆ ได้ทัน ไม่ให้ระบาด ไม่ต้องล็อกดาวน์ทั้งหมด แนะกิจการเพิ่มมาตรการป้องกันโควิดในอาชีวอนามัย พร้อมชวนสถานประกอบการประกวดคลิปวิดีโอนิวนอร์มัลในที่ทำงาน
วันนี้ (23 ก.ค.) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวโครงการสุขภาวะของคนทำงานด้วย Healthy Living และการประกวดคลิปวิดีโอฐานชีวิตวิถีใหม่สถานประกอบการกรณีโรคโควิด-19 ว่า ประเทศไทยมีวัยแรงงานเกือบ 40 ล้านคน โดย 17-18 ล้านคนอยู่ในระบบ คือ ภาคอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว โรงแรม ถือเป็นคนกลุ่มใหญ่ หากสุขภาวะไม่ดี จะส่งผลต่อภาคการผลิต ซึ่งก่อนมีโควิด-19 เราสำรวจสุขภาพประชาชนด้วยการตรวจร่างกาย พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีโรคเบาหวานจากร้อยละ 6.9 เป็นร้อยละ 8.9 ใน 5 ปี หรือเพิ่มขึ้น 2% แปลว่า มีคนเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นเป็นล้านคน ส่วนความดันโลหิตสูงจากร้อยละ 20 กว่าๆ เป็นร้อยละ 24.7 ทุกวันนี้เรามีคนเป็นเบาหวานเกือบ 4 ล้าน และความดันโลหิตสูงเกือบ 10 ล้าน กระจายทุกกลุ่มอายุ โรคเรื้อรังเหล่านี้จะส่งผลในท้ายที่สุด คือ ประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงจากโรคภัยไข้เจ็บ ขณะที่เมื่อมีโควิดเข้ามา มีการแพร่เชื้อ ทำให้ต้องหยุดงานกลับไปอยู่บ้าน
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า การมีสุขภาวะในกลุ่มคนทำงาน หรือ healthy living จึงเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะสถานประกอบการ จึงมีการจัดกิจกรรมโครงการประกวดคลิปวิดีโอ แสดงนิวนอร์มัล ฐานวิถีชีวิตใหม่ในสถานประกอบการ ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการเองก็พยายามแก้ปัญหา หลายกิจกรรมที่ทำอาจเป็นตัวอย่างที่ดีได้ในการเรียนรู้ได้ผ่านคลิปที่ส่งมาประกวด โดยจะเริ่มใน 6 จังหวัด คือ อุดรธานี นครราชสีมา กทม. เชียงใหม่ กาญจนบุรี และนครศรีธรรมราช รวมกว่า 600 แห่ง แต่หากจังหวัดไหนสนใจก็สามารถร่วมได้ทั่วประเทศ ทั้งสถานประกอบการขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ โดยสมัครและส่งคลิปมาประกวด โดยดูรายละเอียดและกติกาที่ www.newnormalcontest.com หมดเขต 21 ส.ค.
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า หลังผ่อนปรนระยะ 5 จนจะเข้าสู่ระยะที่ 6 แม้สถานการณ์โควิดในประเทศจะดี แต่ทั่วโลกมีปัญหา ที่ต้องทำควบคู่กับการผ่อนปรนเพื่อให้เศรษฐกิจสังคมขับเคลื่อน คือ วิถีชีวิตใหม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม การค้า และบริการ เพื่อป้องกันไม่ให้โควิดเข้ามาสู่ที่ทำงาน เพราะข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า ส่วนหนึ่งของผู้ติดเชื้อทำงานในกิจการ 3 ด้านนี้ แม้ที่ผ่านมาจะมีอาชีวอนามัย และความปลอดภัยในสถานประกอบการ แต่ก็ต้องเพิ่มการป้องกันไม่ให้บุคลากรติดโควิด เพราะหากติดก็จะมีมาตรการปิดสถานที่ โดยต้องดำเนินการทั้ง 3 ระดับ คือ 1. เจ้าของกิจการ กำหนดเป็นนโยบาย มาตรการดูแลความปลอดภัย อาชีวอนามัย ที่ต่อยอดการป้องกันโรคโควิดในสถานประกอบการ 2. งานบุคคล องค์กร ซึ่งสถานประกอบการขนาดใหญ่ จะมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย (จป.) ประเมินการติดเชื้อ ความเสี่ยงต่อสุขภาพในโรคอื่นๆ และ 3. ระดับบุคคลทุกคนในองค์กร คือ สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง ทั้งนี้ ขอเชิญชวนสถานประกอบการทำคลิปแสดงชีวิตวิถีใหม่ เพราะไม่มีรูปแบบตายตัว เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เชื่อว่าจะดำเนินการทางเศรษฐกิจ สังคม โดยตัวโควิดยังคงอยู่ แต่เราปลอดภัย
เมื่อถามถึงการระบาดระลอกที่ 2 กับสถานประกอบการ นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า การตั้งเป้าหมายไม่มีผู้ป่วยโควิดจนกว่าจะมีวัคซีนคงไม่ถูกต้อง เพราะทั่วโลกยังมีการระบาดอยู่จำนวนมาก แม้ไทยจะทำทุกวิถีทาง แต่เป็นไปได้ที่จะมีการระบาด แต่ควบคุมในระดับที่เราจัดการได้ นี่คือหลักการสำคัญ ทำให้ไม่มีคนงานติด แต่หากติดก็จัดการได้โดยเร็ว โรคสงบโดยเร็ว ไม่ต้องล็อกดาวน์ทั้งหมด อาจเลือกเฉพาะบางที่บางแห่ง อย่างกรณีระยองก็ไม่มีใครติดเชื้อจากทหารรายนั้น ดังนั้น ถ้าไทยจะมีการระบาดระลอก 2 อาจเป็นแบบเตี้ยๆ คือ จัดการได้ ทำให้กราฟไม่ขึ้นไปสูงๆ
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า การระบาดระลอก 2 จะไม่เหมือนกับระลอกที่ 1 เพราะเราเรียนรู้มาแล้ว เนื่องจาก 1. เราไม่ปล่อยให้คนเดินทางเข้าประเทศโดยไม่จัดการ 2. เรามีมาตรการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างมากกว่า 80% ซึ่งต่างจากระลอกแรก และ 3. มีการเตรียมความพร้อม และประสบการณ์ ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยจาก 3 ปัจจัยนี้ แม้เรามีโอกาสติดเชื้อในประเทศ แต่ก็จะเป็นจุดๆ โดยอาจเจอเหมือนสะเก็ดไฟ แต่เข้าไปดับได้ทัน หรืออาจมีการลาม แต่มาตรการสถานประกอบการ เรายืนยันว่าจัดการได้ ก็คือยืนยันว่าจะใช้ชีวิต สังคม เศรษฐกิจของเรา แต่ใช้บนวิถีชีวิตใหม่