“ความรู้ คือสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติเลยก็ว่าได้ ต่อให้บ้านคุณจะไฟไหม้ ไม่มีอะไรติดตัวเลยสักอย่าง แต่ความรู้และความสามารถนี่แหละครับที่จะทำให้คุณหาเงินได้ตลอดชีวิต” นายพงศ์พันธ์ กล่ำกล่อมจิตร (จิม) นักศึกษาปริญญาเอก หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวไว้ ถึงเส้นทางชีวิตของเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากคนที่ไม่กล้าแสดงออก สู่การบริหารงานขายอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัว
“หลังจากจบปริญญาตรีทางด้านครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาวิศวกรรมโยธา เป็นช่วงที่ประเทศไทยขาดแคลนวิศวกรเป็นอย่างมาก จึงทำให้ผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมงานกับทาง บริษัท คาซ่า ดิเวปลอปเม้นทร์ จำกัด ซี่งเป็นบริษัท ควบคุม งานก่อสร้างอาคารสูง โดยจะดูแลในเรื่องการถอดแบบวิเคราะห์หาราคากลาง เพื่อประมูลงานก่อสร้าง อาทิ ตึกแสงทอง อาคารไทปิง ฯ เป็นต้น พอเข้าสู่ช่วงปี 2541 ประเทศไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่แตก บริษัทฯ อสังหาหลายแห่งต้องปิดตัวลง รวมไปถึงการปลดพนักงานออก ซึ่งตนก็เป็นหนึ่งในนั้นที่โดนปลดออกเช่นกัน แต่ในช่วงนั้นเศรษฐกิจต้องยอมรับเลยว่าอยู่ในจุดที่แย่มาก ๆ ผมก็หางานทำไปเรื่อย ๆ เพื่อความอยู่รอด จนวันหนึ่งมีเพื่อนมาชวนไปทำงานขายบัตรเครดิตของธนาคารซิตี้แบงค์ ช่วงแรกๆ ของการเริ่มงานในครั้งนั้น ต้องยอมรับเลยว่าขายไม่ได้เลยครับ เพราะพื้นฐานเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออก ไม่ค่อยกล้าคุยกับคนที่เราไม่รู้จัก จะรู้สึกประหม่าในทุกๆ ครั้ง แต่ด้วยแรงกดดันในหลายๆ เรื่อง ทำให้ตนนั้นเริ่มที่จะปรับตัว ตัดเอาความกลัวออกจากความคิดทั้งหมด ตั้งหน้าตั้งตาขาย คิดอยู่อย่างเดียวถ้าลูกค้าคุยกับเรา เราก็ได้เงิน ถ้าไม่คุยกับเรา เราก็ไปคุยกับลูกค้าคนอื่นต่อไป จนก้าวเข้าสู่การเป็น Top Sale ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งจุดเล็กๆ นี้เองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของผม ผมจึงเลือกที่จะทำงานในวงการ Sale ต่อ จนกระทั่งในปี 2560 ได้มีโอกาสเข้ารับตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ ผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย แต่คงเป็นช่วงอิ่มตัวกับการเป็นพนักงานประจำ มันเริ่มเบื่อๆ กับการต้องตื่นเช้ามาทำงาน กลับบ้านค่ำมืด และไม่มีเวลาส่วนตัว เลยเกิดความคิดชวนน้องๆ ร่วมกันเปิดบริษัท JM ASSET Co., Ltd. ตอนนี้เปิดมาได้ 2 ปีกว่าแล้วครับ”
จุดเริ่มต้นของการเรียนต่อปริญญาโท
คุณจิมเล่าให้ฟังต่อว่า หลังจากที่เรียนจบปริญญาตรี ตนนั้นไม่ได้คิดว่าจะเรียนต่อแต่อย่างใด เพราะในช่วงที่เรียนปริญญาตรีเป็นการเรียนที่ตนนั้นรู้สึกว่ายากมาก เพราะเนื้อหาต่างๆ เป็นการเรียนเกี่ยวกับการคำนวณทางด้านวิศวกรรมเป็นหลัก ซึ่งในช่วงที่เรียนต่อปริญญาโทนั้นเป็นช่วงเดียวกันกับที่คุณจิมทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการที่ธนาคารกสิกรไทย
“เพื่อนที่แบงค์ชวนมาเรียนก็รับปากเพื่อนไปแบบไม่คิดว่าจะเรียนจริง ก่อนวันที่เรียนวันแรกตอนกลางคืนผมยังอยู่ในงาน Music on the Beach ที่หัวหินอยู่เลย จนเช้าเพื่อนโทรมาตามบอกให้ลองมานั่งฟังก่อนค่อยตัดสินใจว่าจะเรียนหรือไม่เรียน ก็เลยตัดสินใจขับรถกลับจากหัวหินมานั่งเรียนที่ศูนย์วิภาวดีตึก Sun Tower โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าที่จะเรียนนี่คือคณะอะไร สาขาวิชาอะไร รู้อย่างเดียวเรียนที่มหาวิทยาลัยรังสิตหลังจากที่ได้ลองเข้าไปเรียน ก็เริ่มรู้สึกชอบกับการเรียนการสอนที่แตกต่างจากการเรียนในระดับปริญญาตรี มันก็ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองก็เลยตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโท สาขาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง และต่อปริญญาเอกในสาขาและคณะเดิม จริงๆ ผมชอบวิธีการสอนนะครับ อาจารย์ท่านจะถ่ายทอดประสบการณ์ และสอนให้เราคิดตาม ตรงๆ นะครับ แค่ได้มานั่งฟังแต่ละท่านเล่าประสบการณ์ เล่าวิธีคิด มันก็คุ้มแล้วครับ เพราะทุกท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งมากๆ ครับ สำหรับผมแล้ว ผมได้มีโอกาสเรียนกับท่านอาจารย์ รศ.สังศิต พิริยะรังสรรค์ จำได้ว่าตอนนั้นผมรู้สึกเหนื่อยและหมกหมุ่นกับการทำงานหนักมา อยากประสบความสำเร็จ มีความคิดว่าจะหยุดการเรียนไปก่อน แต่เมื่อได้พูดคุยกับท่านก็ปรับมุมมอง ปรับไลฟ์สไตล์ใหม่ แล้วก็กลับมาเรียน ถ้าไม่ได้ท่านตอนนั้นผมก็คงไม่ใกล้กับคำว่า ดร. แน่นอนครับ เพราะตอนนี้ก็เรียนเกือบจบแล้วครับ รอเป็นว่าที่ ดอกเตอร์แล้วครับ”
ประสบการณ์ในการดูแลคน ดูแลงาน
“สิ่งที่ไม่มีระเบียบมันจะมีระเบียบในตัวมันเอง” คุณจิมเล่าถึงการดูแลควบคุมพนักงานขายอิสระ ที่ชีวิตการทำงานนั้นไม่มีเงินเดือนประจำ ไม่มีสวัสดิการ รายได้ทั้งหมดมาจากค่าคอมมิชชั่น ขายได้มากก็ได้เงินมาก ขายไม่ได้ก็ไม่ได้เงิน ซึ่งการควบคุมดูแลพนักงานอิสระเหล่านี้ถือเป็นการดูแลที่ยากมาก วันไหนอยากจะหยุดก็หยุด วันไหนอยากจะมาก็มา ซึ่งสิ่งที่ผมนำมาประยุกต์ใช้ในการควบคุมดูแลพนักงานเหล่านี้ คือนำความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์มาปรับใช้กับการทำงาน เราพยายามบอกให้พนักงานเข้าใจถึงคุณภาพชีวิตจากการทำงานที่เกิดจากความตั้งใจ มีระเบียบวินัยในการทำงานอย่างจริงจัง ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกสนใจเกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์และธุรกิจมากขี้น เพราะเราเห็นความสำเร็จจากการนำไปปรับใช้กับการทำงานจนนำมาสู่การทำงานวิจัยในระดับปริญญาเอก
คุณจิมบอกกับเราว่า งานวิจัยชิ้นนี้ ถือเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับธุรกิจอย่างมาก เพราะได้เอาไปใช้ในการทำงาน ปิดช่องโหว่ในธุรกิจ เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ เป็นอีกช่องทางหนึ่งของช่องทางการขายที่จะเพิ่มยอดการขายจากวิธีการแบบเดิมๆ
มุมมองด้านการศึกษา
“ผมเชื่อว่าทุกคนย่อมเห็นความสำคัญของการศึกษากันอยู่แล้ว คนที่มีวันนี้ได้ก็เพราะใบปริญญาที่คุณเรียนจบมานั่นแหละครับ คงมีบ้างสำหรับบุคคลที่ทำงานไม่ตรงสายและไม่คิดว่าใบปริญญามีผลต่อชีวิต แต่อย่างไรก็ตามในโลกของธุรกิจแบบองค์กรใบปริญญานั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตำแหน่งระดับสูงที่ต้องใช้การบริหารการจัดการมาใช้ในการทำงาน เช่น ผู้จัดการขึ้นไป ยิ่งเราอยากไต่ไปอยู่ที่สูง ความสำคัญของใบปริญญาก็สำคัญมากขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นใบปริญญาจะเป็นตัวคัดกรองพนักงานที่มีประสิทธิภาพเข้าทำงานในองค์กรของเรา นี่คือความสำคัญของการเรียนปริญญาในระดับชั้นสูงๆ การลงทุนกับตัวเองย่อมเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว คุณจะไม่ได้อะไรเลยกับการอยู่เฉยๆ แต่ถ้าคุณพัฒนาทักษะจากความรู้ให้ตัวเอง ประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นกับตัวคุณเองอย่างแน่นอนครับ”
เรียนสูงอย่างมีสุข
การเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นนั้นต้องใช้ทั้งความอดทนและความขยัน ซึ่งหลายๆ คนคงรู้สึกว่ามันคงเหนื่อยเกินที่จะรับไว้ แต่สำหรับคุณจิมนั้นมองว่า ความรู้เหมือนดังทรัพย์สมบัติที่จะอยู่คู่กายเราไปตลอด แม้ในวันที่คุณไม่มีอะไรเลย
“ความรู้ระดับชั้นสูงๆ ในมหาวิทยาลัยที่คนมักจะไม่เห็นความสำคัญ ชอบพูดว่าเรียนไปก็ไร้ค่าไม่ได้เอามาใช้ ผมนี่อยากจะบอกว่าลองเปลี่ยนความคิดใหม่ มหาลัยจะสอนหลักสูตรที่ผ่านการวิจัยและวัดผลมาแล้วว่าเป็นความรู้พื้นฐานระดับสูง ที่คุณเองนั่นแหละต้องนำมันไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจหรือหน้าที่การงานของคุณ การผ่านการเรียนปริญญาในระดับชั้นสูงๆ จะทำให้คุณนั้นไม่อดตาย สำหรับผม ชีวิตการเรียนของผมไม่ได้มีแต้มต่อใดๆ ทั้งสิ้น วิชาความรู้ระดับสูงที่สามารถวัดผลได้จะเป็นสิ่งที่ติดตัวคุณไปตลอดชีวิต”