xs
xsm
sm
md
lg

สธ.ย้ำคนในบ้านยังต้องเว้นระยะห่าง หลัง 2 ผู้ป่วยโควิดใหม่ติดจากครอบครัว ขอทุกคนใช้ “ไทยชนะ” เป็นสำนึกสู่ชีวิตวิถีใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สธ.เตือนคนร่วมบ้านยังต้องรักษาระยะห่าง หลังผู้ป่วยโควิดใหม่ 2 ราย ติดจากคนในครอบครัว เผย 50% ผู้ป่วยทั้งหมดมาจากการติดเชื้อในครอบครัว ย้ำ ร้านค้า-ประชาชน ร่วมกันใช้แพลตฟอร์มไทยชนะ ให้เป็นสำนึกความร่วมมือสู่ชีวิตวิถีใหม่

วันนี้ (19 พ.ค.) นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 2 ราย พบว่า เป็นการติดจากผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้าที่ จ.นราธิวาส คือ ติดจากครอบครัว ทั้งนี้ ย้ำว่า การติดเชื้อในผู้สัมผัสร่วมบ้านเดียวกันเป็นตัวเลขที่เจอบ่อย จากผู้ป่วยทั้งหมด 3,033 ราย ประมาณ 50% ติดเชื้อจากสมาชิกในครอบครัว และ 20% จากการติดเชื้อในที่ทำงาน ดังนั้น ในครอบครัวในที่ทำงาน เรื่องเว้นระยะระหว่างกันถือเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้ ควรใส่หน้ากากตลอดเวลาที่ออกมานอกบ้าน ล้างมือบ่อยๆ เมื่อสัมผัสจุดสัมผัสใช้ร่วมกัน ต้องระลึกเสมอว่า อาจมีคนมีเชื้อโรคและไปสัมผัสจุดนั้น ไม่ไปพื้นที่เสี่ยง พื้นที่แออัด ที่มีการเบียดเสียดกัน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ไม่ได้เว้นระยะห่างที่ดี

นพ.อนุพงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้เรามาสู่วันที่ 2 ของการผ่อนปรนระยะที่ 2 ขอเตือนเรื่องการไปช้อปปิ้งห้างสรรพสินค้า การไปเบียดเสียด ไปออกัน ไม่เข้าแถวเว้นระยะห่าง เป็นเรื่องอันตราย การไปใช้บริการขอให้ใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ร้านลงทะเบียนแปะคิวอาร์โคด ประชาชนสแกนเข้าและออก และประเมินสถานบริการให้ด้วย เป็นสำนึกความร่วมมือที่ทำให้เราเข้าสู่ชีวิตวิถีใหม่ที่ปลอดภัย ตอนนี้เรายังต้องสู้กับโควิด ยังไม่ปลอดภัย แม้ตัวเลขจะเป็นหลักเดียวหรือเป็นศูนย์ ซึ่งไม่ได้แปลว่าไม่มีติดเชื้อ ยังมีในชุมชน แต่อาการน้อย และไม่ได้มาตรวจ ก็จะทำให้ไม่รู้

“คิวอาร์โคดห้างร้านสำคัญ เพราะการไปใช้บริการ ถ้าเช็กอินระบบจะจำได้ว่า ช่วงเวลาใช้บริการคือเวลาใด หาก รพ.ตรวจพบมีผู้ป่วยโควิดแล้วทราบว่า มีประวัติเสี่ยงเดินทางไปห้าง วันที่นี้ เวลานี้ คนที่เช็กอินจะได้ประโยชน์ จะอยู่ในกลุ่มที่ปรากฏ และขอให้เข้ามาตรวจที่สถานพยาบาลว่าติดเชื้อด้วยหรือไม่ ก็จะได้รับการตรวจฟรีและเร็ว การการเช็กเอาต์จะช่วยประเมิน เพราะหน่วยงานท้องถิ่น ไม่สามารถไปดูร้านทุกร้านได้ เพื่อให้ไปตรวจให้คำแนะนำต่อ” นพ.อนุพงศ์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น