ศบค.เผย ผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นอีก 50 ราย ไม่มีกลุ่มกลับจากอินโดนีเซีย ยังเป็นกลุ่มสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้ามากที่สุด พบเสียชีวิต 1 ราย มีโรคเอสแอลอี ทำให้อาการรุนแรง เข้ามารักษาด้วยภาวะช็อกและเสียชีวิตใน 1 วัน ขณะที่ยอดสะสมรวม 2,473 ราย รักษาหาย 1,013 ราย เตือนกลุ่มวัยทำงานเสี่ยงพาหะเดินได้ นำเชื้อเข้าบ้าน
วันนี้ (10 เม.ย.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงข่าวประจำวัน ว่า วันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 50 ราย เสียชีวิต 1 ราย รักษาหาย 73 ราย ส่งผลให้ยอดสะสมผู้ป่วยรวมเป็น 2,473 ราย รักษาหายรวม 1,013 ราย เสียชีวิตรวม 33 ราย สำหรับผู้เสียชีวิตรายใหม่ เป็นหญิงไทยอายุ 43 ปี มีโรคประจำตัวคือโรคเอสแอลอี เริ่มเข้ารับการรักษาเมื่อวันที่ 6 เม.ย. ที่ รพ.แห่งหนึ่งใน จ.ฉะเชิงเทรา ด้วยอาการไข้ 38.9 องศาเซลเซียส มีอาการถ่ายเหลว อาเจียน แรกรับมีอาการหายใจหอบเหนื่อย ความดันตก แพทย์ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ เมื่อเอกซเรย์ปอดพบว่า มีอาการปอดอักเสบรุนแรง และเสียชีวิตวันที่ 7 เม.ย. 2563 ส่วนทำไมเพิ่งรายงาน เนื่องจากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่งออกมา
“จะเห็นว่าผู้ป่วยมาวันที่ 6 เม.ย. แล้วเสียชีวิตวันที่ 7 เม.ย.เลย ซึ่งผู้ป่วยมาถึงก็อยู่ในภาวะช็อกแล้วถึงต้องใส่ท่อช่วยหายใจและช่วยอย่างเต็มที่และเสียชีวิตในที่สุด ส่วนที่มีอาการรุนแรงเพราะผู้ป่วยมีโรคเอสแอลอี ซึ่งทำให้มีภูมิไม่เข้มแข็ง ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และติดแล้วมีอาการรุนแรง ดังนั้น ครอบครัวที่มีผู้มีโรคประจำตัวต่างๆ จึงต้องดูแลอย่างดี อย่าให้ได้รับเชื้อ เพราะอาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 50 ราย แบ่งเป็น 1. ผู้ป่วยที่สัมผัสผู้ป่วยรายก่อนหน้า 27 ราย ส่วนใหญ่เป็น กทม. 11 ราย และยะลา 7 ราย 2. ผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ ได้แก่ คนไทยกลับจากต่างประเทศ 3 ราย เป็นกลับจากอังกฤษ 2 ราย และสหรัฐอเมริกา 1 ราย ซึ่งเดินทางกลับมาก่อนวันที่ 31 มี.ค. กลุ่มไปสถานที่ชุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว 3 ราย กลุ่มอาชีพเสี่ยง ทำงานที่แออัด ทำงานใกล้ชิดคนต่างชาติ 5 ราย และกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ 4 ราย และ 3. อยู่ระหว่างสอบสวนโรค 8 ราย จำนวนนี้เป็นการค้นหาเชิงรุกที่ภูเก็ต 4 ราย โดยผู้ป่วยรายใหม่อยู่ที่ กทม.มากที่สุด 19 ราย ยะลา 7 ราย ภูเก็ต 5 ราย นนทบุรีและสมุทรปราการ 4 ราย นครสวรรค์ และ ปราจีนบุรี 2 ราย ฉะเชิงเทรา ชุมพร นครศรีธรรมราช นราธิวาส พะเยา สุราษฎร์ธานี และ พังงา 1 ราย
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ผู้ป่วยสะสม 2,473 ราย กระจายรักษาใน 68 จังหวัด โดย 10 จังหวัดที่มีผู้ป่วยสูงสุด ได้แก่ กทม. 1,262 ราย ภูเก็ต 166 ราย นนทบุรี 148 ราย สมุทรปราการ 108 ราย ยะลา 77 ราย ชลบุรี 73 ราย ปัตตานี 66 ราย สงขลา 47 ราย เชียงใหม่ 40 ราย และปทุมธานี 30 ราย สำหรับจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยลดลงเหลือ 9 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง โดย จ.พังงา เพิ่งไปอีก 1 จังหวัดที่มีผู้ป่วยรายงาน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า กทม.และนนทบุรี จำนวนผู้ป่วยยังทรงๆ ส่วนต่างจังหวัดดูแล้วลดลง แต่ที่เพิ่มมาก่อนหน้านั้น คือ รายที่กลับมาจากอินโดนีเซีย สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดผู้ป่วยอันดับ 1 ยังเป็นการติดจากการสัมผัสผู้ป่วยรายก่อนหน้า ตามด้วยคนไทยกลับจากต่างประเทศ และกลุ่มอาชีพเสี่ยง ขณะที่กลุ่มติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงาน สะท้อนว่าวัยหนุ่มสาวที่ออกไปทำงาน อายุยังน้อย มีสังคม และไม่ลดระยะห่าง มีความเสี่ยงในการนำเชื้อเข้าบ้านแล้วนำมาสู๋การติดเชื้อในบ้าน จึงต้องย้ำเตือนว่าเรามีโอกาสเป็นพาหะเดินได้ ออกไปทำงานแล้วมีโอกาสนำเชื้อเข้าบ้าน ดังนั้น ต้องลดการออกจากบ้าน แต่หากเลี่ยงไม่ได้ต้องป้องกันตัวเองให้มากที่สุดตลอดเวลา สวมหน้ากากป้องกัน หากป่วยต้องหยุดงานมารักษาทันที