ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ลูกชายคนโต “สรวง สิทธิสมาน” ชวนน้องชายไปสมัครเรียนกีฬามวยไทย และชวนแม่ไปเล่นด้วย เขาพร่ำบอกถึงข้อดีมากมายที่จะช่วยฝึกร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆกัน แม้ใจจริงแม่ไม่อยากเท่าใด แต่อยากลองดูและถือโอกาสทำกิจกรรมร่วมกับลูกด้วย จนสุดท้ายกลายเป็นกิจกรรมกีฬาที่รวมครอบครัวและเพื่อนฝูงของเขามาร่วมกันอีกหลายคน ด้วยทัศนะของกีฬาชนิดนี้ที่ต้องมีการฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจ มีข้อดีที่ซ่อนอยู่มากมายถ้าเรามองเห็น และเขาก็ได้ถ่ายทอดผ่านคอลัมน์นี้
…………………………….
มวยไทย - การออกกำลังกาย(ใจ)ที่ผมเลือก
ผมเป็นคนรักศิลปะการต่อสู้ และติดตามเกมกีฬาการต่อสู้อยู่แทบจะทุกประเภท ตั้งแต่มวยสากล มวยปล้ำ มวยกรง กระทั่งคาราเต้ แต่ถ้าเป็นกีฬาศิลปะการต่อสู้ที่ผมรักที่สุด คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก “มวยไทย” เพราะนอกจากการเป็นศิลปะการต่อสู้ประจำชาติแล้ว ท่วงท่าลีลาต่างๆ ของลูกแม่ไม้มวยไทยนั้นมีเสน่ห์ แต่แฝงไปด้วยอันตรายเหลือล้น ทั้งลูกบุกโจมตีที่ก้าวร้าว ลูกป้องกันและสวนกลับ การจับจังหวะและหาโอกาส ตลอดจนการสร้างกลอุบายที่ล่อให้คู่ต่อสู้ติดกับและถูกต้อนจนมุม
ตัวผมไม่แน่ใจนัก ว่าเริ่มรู้จักกับมวยไทยครั้งแรกผ่านหนังสือการ์ตูนบุคคลผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์เรื่องเล่มใด ระหว่าง “พระยาพิชัยดาบหัก” หรือ “นายขนมต้ม” กันแน่
แต่ที่แน่ๆ คือ การที่ผมกับน้องชายนำเอาชื่อต่างๆ ของกลท่าแม่ไม้มวยไทยมาท่องจนจำได้เกือบจะครบทีเดียว
เมื่อครั้นมีโอกาส จึงได้เข้าไปลองฝึกออกอาวุธเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่เคยฝึกอย่างจริงจังสักที ครั้งที่จริงจังที่สุดเห็นจะเป็นการฝึกออกท่าแม่ไม้มวยไทยเพื่อขึ้นไปแสดงโชว์ในงาน International Culture Festival ของทางมหาวิทยาลัยที่เซี่ยงไฮ้ประเทศจีน
จนล่าสุด เมื่อมีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในจีน ทำให้ทางมหาวิทยาลัยในเซี่ยงไฮ้ต้องเลื่อนการเปิดเทอมออกไปอย่างไร้กำหนด ผมและน้องชายไม่สามารถกลับไปเรียนที่เซี่ยงไฮ้ได้อย่างต่ำสุดก็คงจะประมาณสองเดือน จึงต้องนั่งเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้านแทน เมื่อไม่ต้องเข้าคลาสเรียน ก็มีเวลาว่าง เมื่อมีเวลาว่าง จึงเบื่อ และเพราะเบื่อ จึงอยากหากิจกรรมทำ และในทัศนะของผม ไม่มีกิจกรรมไหนที่เหมาะสมยิ่งกว่ามวยไทยอีกแล้วในช่วงนี้ ซึ่งสถานที่ก็อยู่ใกล้บ้านด้วย
ผมและน้องชายจึงพากันไปเข้าคอร์สเรียน/เล่นมวยไทยอย่างจริงจัง โดยชวนคุณแม่ และเพื่อนๆ ให้ตามมาเล่นด้วยกัน เกิดเป็นกิจกรรมเล็กๆ ของครอบครัวเราขึ้นมา
มวยไทยเป็นหนึ่งในวิชาศิลปะการป้องกันตัวที่ Effective ที่สุดในบรรดาศิลปะการป้องกันตัวทุกประเภท แน่นอนว่า เราไม่ได้เรียนวิชามวยไทยเพื่อคุกคามรังแกผู้อื่น และไม่ได้ต้องการจะเป็นนักมวยอาชีพขึ้นสู้บนสังเวียนเช่นกัน ในยุคสมัยนี้ บ้านเมืองเราก็ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนที่เราจะต้องคอยป้องกันตัวจากเหตุทะเลาะวิวาทบนท้องถนน หากเกิดเหตุฉุกเฉินเข้าตาจน คู่วิวาทมีมีดมีปืน วิชามวยไทยก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี
เช่นนั้นแล้ว การเล่าเรียนวิชามวยไทยจะมีประโยชน์อันใดเล่า ?
หลายคนอาจไม่เห็นข้อได้เปรียบใดๆ จากการเรียนวิชาศิลปะการต่อสู้ ซ้ำยังมองว่าเป็นกีฬาที่ทำให้เกิดการก้าวร้าว ทำให้เด็ก ๆ เคยชินกับความรุนแรง และมีการออกมาต่อต้านอย่างจริงจัง แต่ตามทัศนะของผม ผมมองว่าการเล่าเรียนวิชามวยไทยนั้นมีข้อดีต่อร่างกายและจิตใจอยู่แยะทีเดียว
ข้อดีประการแรก การฝึกฝนวิชามวยไทยคือการฝึกฝนร่างกาย ในปัจจุบัน เรามีทางเลือกมากมายในการออกกำลังกาย หลายคนชอบเล่นกีฬาเป็นทีม หลายคนชอบเข้าฟิตเนส บางคนชอบปั่นจักรยาน บางคนสนุกกับการวิ่ง ผมทำมาหมดทุกอย่างแล้ว ผมเข้าฟิตเนสทุกวัน ผมเคยชอบวิ่ง ชอบว่ายน้ำ เล่นบาสเกตบอล เตะบอล เล่นรักบี้ แต่ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเริ่มชกมวย ผมพบว่ากีฬาการต่อสู้นั้นเหนื่อยหอบยิ่งกว่าทุกกีฬาที่เคยเล่นมาทั้งปวง ซึ่งก็ไม่แปลกใจ ที่นั่นจะเป็นเหตุผลให้เกิดเทรนด์การเล่นมวยไทยเพื่อสุขภาพ และลดน้ำหนักขึ้นมาในช่วงหนึ่ง
ประการที่สอง คือ เรื่องของ Mentality Toughness หรือการฝึกฝนจิตใจให้อดทน สืบเนี่องมาจากข้อดีประการแรก เพราะการฝึกฝนมวยไทย นอกจากเหนื่อยแล้ว ยังเจ็บ การออกหมัดและการเตะเป้าซ้ำไปซ้ำมาทุกวันส่งผลให้ร่างกายบอบช้ำ บางครั้งหากเตะผิดวิธีก็อาจทำให้มีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าหรือข้อเข่าเอาได้ง่าย ๆ และเมื่อร่างกายเราเริ่มที่จะรับไม่ไหว ก็ต้องใช้ความแข็งแกร่งของพลังใจเข้าช่วย เพื่อพยุงให้ร่างกายรอดพ้นจากเวลา 3 นาทีอันยาวนาน เพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละยก และนั่งพักฟื้น ก่อนจะเริ่มยกต่อไป...
เหมือนกับในชีวิตจริง ที่เราจะต้องพบเจอกับนานาปัญหาและอุปสรรคอย่างไม่มีวันหยุดหย่อน การมีจิตใจที่แข็งแกร่งอดทน จะทำให้เราผ่านมันไปได้ด้วยดี
ประการต่อมา เป็นเรื่องของการฝึกสมาธิ เรื่องนี้อาจยากที่จะเข้าใจ แต่การมีสมาธินั้นสำคัญมากทีเดียว เพราะในระหว่างการชกล่อเป้ากับครูมวย เป็นเวลาที่สมาธิของผมแตกเละเทะไม่เป็นท่า โดยเฉพาะในช่วงแรกของการฝึก จิตใจของผมแทบจะกระเจิงออกจากร่าง ความกังวลนั้นฟุ้งมากเสียจนครูมวยดูออก ผมมัวแต่พะวงกับท่าทางการออกอาวุธ กลัวว่าจะดูไม่โปร กลัวว่าจะดูไม่สง่างาม ผมขาดความมั่นใจมาก จนหันไปดูกระจกเพื่อดูว่าตัวเองเตะสวยไหม และเมื่อตาไม่ได้มองอยู่ที่เป้า จึงทำให้เตะพลาดเป้า และเกิดอาการบาดเจ็บเล็กน้อยที่ข้อเท้า ท่าที่เห็นในกระจกก็ดูไม่สวย เตะก็พลาด แถมยังเจ็บอีก ผมเริ่มกังวลหนักขึ้นไปอีก และลองมองไปทางน้องชาย และเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันในวันนั้น กลัวว่าพวกเขาจะเห็นที่ผมทำพลาดไปอย่างน่าอับอายเมื่อครู่ เมื่อใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงทำให้พลาดเป้าไปอีกหลายครั้ง ยิ่งรู้สึกอับอาย ผ่านไปสักพักก็เริ่มเหนื่อยหอบ ในใจหวังให้จบยกเสียที จึงหันไปมองนาฬิกา โอ้วแม่เจ้า! เพิ่งผ่านมานาทีครึ่งเองหรือเนี่ย !? นึกว่าใกล้จะจบยกแล้วเสียอีก พอรู้สึกว่าเวลายังไม่ใกล้หมดยก ยิ่งทำให้ท้อ ยิ่งหอบมากกว่าเดิม จำได้ว่ารอบนั้นผมหอบจนเกือบจะเป็นลมไปเลย
แค่หลุดโฟกัสไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจมีผลที่ยิ่งใหญ่ต่อสภาพจิตใจได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้สมาธิเป็นสิ่งสำคัญ ลองจินตนาการดูสิครับ ถ้านักมวยที่ขึ้นชกบนสังเวียนเกิดสมาธิหลุดแบบผมขึ้นมา คงจะถูกก้านคอหลับไปได้ในทุกวินาที
ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเกมกีฬา แต่ในชีวิตจริง หากเราสมาธิหลุด การ์ดตก ไร้ซึ่งการระวังป้องกัน อาจเป็นผลให้ถูกคู่แข่งช่วงชิงผลประโยชน์ไปจากเราได้
และไอ้สมาธิที่ว่ามันสร้างขึ้นมาอย่างไร ?
สำหรับผม สิ่งแรกเลยคือการสร้างเป้าหมายให้เป็นจุดโฟกัส ตั้งแต่ระฆังเริ่มยกดังขึ้น เราจะต้องโฟกัสที่จุดนั้นโดยที่ไม่หลุดโฟกัสแม้แต่น้อย ซึ่งเป้าหมายหรือจุดโฟกัสของผมตอนชกมวย คือ การออกอาวุธให้เข้าเป้า ออกให้ถูกต้องตามที่ครูสอน และใช้พลังงานออกอาวุธให้เต็มแรง ไม่วอกแวก ไม่ดูกระจก ไม่สนสายตาคนอื่น ทำตามที่ครูสอน ล่อเป้าที่ครูตั้ง ทำไปเรื่อย ๆ ห้ามหยุด จนกว่าจะได้ยินเสียงระฆังหมดยก เป็นอันว่าลุล่วง ชมตัวเองว่า “สุดยอด” เพื่อเป็นรางวัลให้กับการบรรลุเป้าหมายในยกนั้น
เห็นได้ชัดว่ามวยเป็นกีฬาที่มีความก้าวร้าวสูงที่สุด แต่เฉพาะคนที่จิตใจนิ่งที่สุดเท่านั้นถึงจะอยู่รอดในเกมนี้ได้
การจะฝึกวิชามวยไทยให้ชำนาญ กุญแจสำคัญอยู่ที่ความขยันหมั่นซ้อม ออกอาวุธไปเรื่อยๆ จนกระดูกแข็งและไม่เจ็บอีกต่อไป การทำให้กล้ามเนื้อจดจำจนการออกอาวุธต่างๆ ดูเป็นธรรมชาติ จนเราสามารถที่จะ “ขยับแบบมวยไทย” ได้อย่างสมบูรณ์ และนั่นก็เป็นเป้าหมายที่ผมกำลังโฟกัสอยู่ ณ ขณะนี
นอกจากนี้ ผมยังพบว่าทักษะที่ได้ใช้ตอนฝึกวิชามวยไทยนั้นสามารถนำมาใช้กับชีวิตจริงในแต่ละวันของผมได้ ร่างกายที่แข็งแรงสร้างจิตใจที่มั่นคง จิตใจที่มั่นคงทำให้เกิดสมาธิ พร้อมที่จะเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ที่ขวางอยู่บนหนทางไปสู่เป้าหมาย
และในทางกลับกัน สมาธิสร้างความแข็งแกร่งให้กับจิตใจ จิตใจให้พลังงานต่อร่างกาย และร่างกายนำเราไปสู่จุดหมาย นั่นคือชัยชนะ ชัยชนะที่มีต่อตัวเอง
ซึ่งบางครั้งการต่อสู้ต่างๆ ในชีวิต มันอาจเป็นแค่การต่อสู้กับตัวเองเท่านั้น
และวิชามวยไทย เป็นสิ่งที่สอนผมให้รู้ว่า ตัวเราเองนี่แหละ ที่เป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด และเอาชนะยากกว่าสรรพสิ่งทั้งปวงบนโลกทั้งใบ
หลายคนอาจมองว่ากีฬาการต่อสู้นั้นอันตราย แถมยังทำให้เกิดความรุนแรงในสังคม ซึ่งอาจจะเป็นการมองข้ามข้อดีที่การเรียนมวยไทยซึ่งเป็นการฝึกฝนพลังใจให้แข็งแกร่ง ถึกทน และนุ่มนวลมากกว่าที่คิด
ตามทัศนะของผม ผมคิดว่ามวยไทยเป็นกีฬาสำหรับคนที่ “ใจเย็น” เสียด้วยซ้ำ