เป็นคนเดียวที่ไปพิชิตไอเฟล แก่ที่สุด อายุมากที่สุด” เจาะเส้นทางนักวิ่งแนวดิ่งไทยระดับโลก คุณลุงวัยเกษียณที่เป็นคนไทยคนเดียวใน 129 คน ที่สามารถวิ่งแนวดิ่ง “พิชิตหอไอเฟล” ซึ่งมีความสูงถึง 324 เมตร ภายในเวลา 15.21 นาที ปลดล็อกชีวิตจากโลกอบายมุข ดื่มเหล้า-สูบบุหรี่หนัก จนไม่เหลือสภาพความเป็นคน กระทั่งได้เจอกับการออกกำลังกาย และนี่คือการวิ่งไต่บันไดชีวิตของคุณลุงหัวใจแกร่ง ที่จะบันดาลใจใครหลายคนให้อยากลุกมาสร้างสีสันให้ชีวิตตัวเอง!!
แสนภูมิใจ 1 ใน 129 “พิชิตหอไอเฟล”
ตึกไอเฟลก็สูงพอๆ กับตึกใบหยกนี่แหละครับ ประมาณ 300 เมตร แต่บันไดเหล็กจะแคบมาก วิ่งไปต้องเงยหน้าตลอด ก้มไม่ได้ ใบหยกยังก้มดูระยะ แต่ตึกนี้มันจะสูง ดิ่งจริงๆ แล้วจะคอยเซฟตัวเองไว้ตอนวิ่ง หิมะก็ลงมา ลมก็พัด ฝนตก”
นี่คือคำพูดของ ลุงอำนาจ ที่พูดถึงการแข่งขัน“วิ่งหอไอเฟล” (Eiffel Tower Vertical Run 2018) ที่พิชิตมาแล้ว ซึ่งที่ว่าแปลก คือเป็นการวิ่งแนวดิ่งวนขึ้นไป ให้ได้เท่ากับความสูงของตึก 81 ชั้น ซึ่งมันจะยิ่งทรหดกว่าตึกธรรมดาทั่วๆ ไป ตรงที่บันไดหนีไฟมีสภาพที่แคบ และหิมะก็เทลงมาตลอดการแข่งขัน
“ ระหว่างกลางทาง กลางตึก ทางเจ้าหน้าที่ของฝรั่งเศสที่ดูแลเขาจะเอาผมออกตลอด เฮ้ย!! You ไหวมั้ย เขาจะถามตลอด ส่งวอได้ยินทางวิทยุ เราได้ยินอยู่ เฮ้ย!!คุณไหวมั้ยเนี่ย Are you ok? ถามตลอด ผมจะพูด ผมได้ยินอยู่ เฮ้ย!! ไหวสบาย
เขาจะเหมือนเป็นห่วงคนแก่คนเดียวในงาน แก่ที่สุด แล้วจะมีหมอเข้ามาดูตลอดเวลา วิ่งผ่านชั้น สองชั้น เฮ้ย!! You ไหวมั้ย คือเขาจะเอาออก แต่ผมบอกว่าไหว สบาย ก็ผ่านมาได้ด้วยดี”
อำนาจ พรหมภินันท์ หรือที่ใครๆ ต่างเรียกเขาว่า “ลุงอำนาจ” นักวิ่งแนวดิ่งของไทยเพียงหนึ่งเดียวที่อายุเยอะที่สุด ที่นั่งอยู่หน้าผู้สัมภาษณ์คนนี้ ได้ไปพิชิตหอไอเฟล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้วยความสูงถึง 324 เมตร ภายใน15.21 นาที ได้สำเร็จมาแล้ว ซึ่งใครจะรู้ล่ะว่าอดีตเขาเคย เป็นคนขี้เมา ติดเหล้า ติดบุหรี่ กระทั่งกีฬา ‘วิ่ง’ ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนของชีวิต
ผู้ชายวัย 68 คนนี้ ยอมรับตรงไปตรงมาเลยว่ารู้สึกตื่นเต้น และภาคภูมิใจในเวลาเดียวกัน เพราะเขาเป็น 1 ใน 129 คนจากทั่วโลก ที่ได้รับสิทธิ์เข้าแข่งขัน “วิ่งหอไอเฟล” (Eiffel Tower Vertical Run 2018)
“หอไอเฟล จริงๆ แล้วเขาแข่งกันมานานแล้ว แต่เรายังไม่รู้จัก ภายหลังพอมาทำงาน เรามีเพื่อนเป็นชาวฝรั่งเศส เขาก็แนะนำว่าอำนาจทำไม You ไม่ไปแข่งที่นี่
เราก็เฮ้ย!! มีด้วยเหรอ เขาก็เอาเว็บไซต์มาให้ดู เอาเน็ตมาให้ดู บอกเสิร์ชเข้าไป เฮ้ย!!เขามีแข่งทุกปี ปีครั้งแรกที่ไปปี 2018 คือย้อนหลังไป 3 ปีที่แล้ว
แม้การแข่งขันในครั้งนี้จะมีอุปสรรค และความยากที่พร้อมทดสอบ แต่ก็ถือว่าเป็นรายการที่เขานั้นภาคภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนคนไทยคนแรกวัยอาวุโส ที่ได้เข้าประลองในสนามนี้
“เป็นคนเดียวที่ไปไอเฟล เป็นคนแก่ที่สุด อายุมากที่สุด ไปแข่งกับวัยรุ่นบ้าง ชาวต่างชาติอายุ 30-40 ผมเป็นคนที่อายุมากที่สุดแล้ว ไปตอน 66 ปี แต่ผมแก่ในงานที่สุด
ทางเจ้าของโรงแรมที่ผมทำงานท่านไปเชียร์ด้วย ไปยืนข้างล่าง นั่งรอเชียร์ข้างล่าง ไปให้กำลังใจ บินไปเชียร์ที่ฝรั่งเศสเลย ไปเชียร์ถึงที่ นั่งรอข้างล่าง”
ทว่าเมื่อถึงจุดที่ฝากความหวัง และความฝันของคนไทยไว้บนสองเท้าของชายรายนี้ ด้วยแววตาแห่งความมุ่งมั่น เขาย้อนถึงภาพวันที่พิชิตให้ฟังว่า ไม่มีความท้อ ในการพิชิตให้สำเร็จ
“ไม่มีท้อ คิดว่าต้องถึงยอดให้ได้ เพราะคนดูถ่ายทอดสดอยู่ เจ้านายกับครอบครัวนั่งเชียร์อยู่ข้างล่างที่หอไอเฟล แล้วถ้าโดนถอดออก เราอายเขามาก ใจคือต้องถึงยอดให้ได้ แต่เรารู้เวลาแล้วว่าผ่านแล้ว เพราะดูเวลาแล้ว
เขาจะจับเวลาตั้งแต่ชั้นพื้นล่าง ไปถึงชั้น 2 เห็นภาพไอเฟลจะมองเห็นเป็น 2 ชั้น 3 ชั้นอยู่ เขาจับเวลาแค่ชั้นแรกไม่ผ่านก็ตัดออกเลย เขาคัดออกเลย คือจากชั้นล่างเขาปล่อยตัวถึงชั้น 2 ของตึก เขาให้เวลา 8 นาที ผมวิ่ง 2 นาที ผ่านไปแล้ว
พอชั้น 2 ถึงชั้น 3 เขาให้เวลา 15 นาที แต่ผมวิ่งประมาณ 4 นาที รู้ตัวและผ่านแล้ว พอถึงชั้น 3 จนถึงยอด เขาให้เวลาตั้ง 45 นาที ผมวิ่งแค่ 8-9 นาที ระดับดีมาก จาก 129 คน ผมถือว่าได้เวลาดี ใช้เวลาแค่ 15.21 นาที”
ถามว่าคุณสมบัติสำหรับนักวิ่งแนวดิ่ง ที่ได้ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รายการยิ่งใหญ่แห่งนี้ มีหลักเกณฑ์ใดบ้าง และใช้เวลานานเท่าไหร่ กว่าจะผ่านไปถึงการแข่งขัน และได้รับเสียงชื่นชมจนถึงวันนี้ เขาเล่าย้อนให้ฟังว่าใช้เวลาในการสมัครเป็นเวลา 3 เดือน เพราะทีมงานต่างชาติ เขามีมาตรการที่เข้มงวด
“สมัครเข้าไป ก็ใช้เวลานานมากกว่าจะรับ สมัครเล่นๆ ไม่ได้คิดอะไรมากมาย จนมาทราบว่าเขาประกาศได้รับเชิญให้ไปวิ่ง ตอนนั้นดีใจมาก
สมัครมันก็ยากพอสมควร เพราะว่าเขาต้องถามประวัติว่าเราเคยวิ่งพวกนี้มั้ย เคยได้แชมป์ ได้วิ่งขึ้นตึกหรือวิ่งมาราธอนนานขนาดไหน เขากลัวเราไม่เคยวิ่งเลย จะขึ้นเครื่องแล้วกลัวเขาไม่ให้ไป ต้องเอารูปถ้วยรับรางวัลส่งให้เขาดู ได้เคยไปวิ่งตึกไหนมา ก็แนบเว็บไซต์ให้เขาดู คือวิ่งมินิมาราธอนหรือมาราธอน ก็ส่งภาพว่าเคยได้รางวัลมานะ เขากลัวเราไปโกหกเขาไง
แล้วยิ่งเป็นเว็บไซต์ต่างประเทศ วิ่งขึ้นตึกเขาไปเช็กว่า มีชื่อจริง อำนาจไปจริง มีชื่ออยู่ให้ดู
เมื่อยืนยันแล้ว ผ่านการตรวจจากโรงพยาบาลเมืองไทย หมอเซ็นที่ใบอนุญาตพร้อม ส่งไปให้เขาดูว่าผ่านการตรวจโรครับรองจากหมอแล้วเรียบร้อยว่า ไม่มีโรคติดต่อ หรือโรคความดันอะไรต่างๆ สามารถไปร่วมการแข่งขันได้
ในปลายทางไอเฟลเขาก็มีหมอเหมือนกัน จะไปโกหกเขาไม่ได้ เขาเช็กดูแล้วว่าผ่าน แล้วก็มีรายชื่อมาว่าเชิญจะไป เชิญมาว่าไปทำ visa ทำอะไรไป ใช้เวลา 3 เดือน สมัครพ.ย. กว่าจะรู้ก็รอจนกระทั่งลืมไปแล้ว นึกว่าไม่ได้ไปแล้วล่ะ เราไม่ได้คิด ไม่ได้หวังอะไรมากมาย จนเขาแจ้งมาประมาณกุมภาพันธ์ แจ้งมาเที่ยงคืน ส่งอีเมลมา โอ้โหตื่นเต้นมาก ก็มาบอกทางเจ้านายที่ทำงาน บอกเพื่อนนักวิ่งด้วยกัน จะไปวิ่ง
หลังจากนั้นมาเริ่มซ้อม ซ้อมหนักเลย เพราะว่าได้ไปแน่ ทุกคนเตือนว่าวิ่งบันไดเหล็กนะที่นี่ ที่ไอเฟลมันเป็นบันไดเหล็ก ก็ซ้อมหนักมาก”
พิชิตมาหมดแล้ว ทั้ง “แนวดิ่ง-แนวรอบ”
[รับหน้าที่ “ดูแลความปลอดภัย ”ของโรงแรม ]
“ที่ทำงานเราเป็นโรงแรมอาคารสูง หน้าที่ที่ผมดูแลคือ safety ของ security พวกนี้ เราก็จะต้องตรวจสอบความปลอดภัยในโรงแรม เช่น ทางหนีไฟเป็นหลักทางหนีไฟตามกฎหมาย เขาก็ไม่ให้เอาของมาตั้งเกะกะ ขวางทาง เพราะมันเป็นทางหนีไฟ พอต้องตรวจสอบ ผมต้องเดินขึ้นเดินลงบ่อยๆ เฮ้ย!! ก็เลยลองมาวิ่งดูจากทางหนีไฟ พอวิ่งไปวิ่งมาก็เข้าท่า
พอตอนนั้นเขามีแข่งวิ่งตึกใบหยกครั้งแรก ย้อนเวลาไปหลาย 10 ปีมาแล้ว ก็ลงแข่งตึกใบหยกดู ก็ได้ซ้อมจากบันไดหนีไฟนี่แหละ”
เห็นได้ชัดว่าผู้ชายที่ทำหน้าที่ “หัวหน้าพนักงานดูแลความปลอดภัย” คนนี้ คือคนที่พยายามก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดชีวิตของตัวเอง ทั้งขีดจำกัดทางด้านร่างกาย หรือแม้แต่ทางด้านจิตใจ ในการต่อสู้กับความคิดที่หลายคนคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” แล้วทำให้มันเกิดขึ้นจริง
“แนวดิ่งทางภาษาอังกฤษ เขาเรียกว่า Vertical แนวดิ่งคือแนวหลักใช้บันไดหนีไฟของอาคารสูง ซึ่งตอนนี้กีฬาประเภทนี้ต่างประเทศกำลังฮิตมากทั่วโลก
ใบหยกผมเคยได้ที่ 1 เคยได้แชมป์ ได้รองมาบ้าง เคยได้ตำแหน่งมาหลายครั้งอยู่ เคยได้เป็นแชมป์ตอนแรกๆ ตอนหลังไม่ได้แล้ว จะมีรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมา เรา 68 จะไปสู้กับ 61 หรือ 60 ต้นๆ สู้ไม่ได้ จะเก่งยังไงก็สู้ไม่ได้
ตอนนั้นก็ดีใจ ว่าเฮ้ย!!วิ่งได้ 84 ชั้น 300 เมตรก็วิ่งได้ ไม่มีการหยุด รวดเดียวเลย ก็เวลาดีมากประมาณ 12-13 นาที ด้วยเวลาที่ดูแล้วก็ใช้ได้ ก็หันหน้ามาซ้อมวิ่งแนวดิ่งตลอด แต่ก็ไม่ได้ทิ้งแนวราบนะ”
ท่ามกลางความสงสัยว่า การวิ่งแนวดิ่ง หรือวิ่งขึ้นตึกนี้ ยังมีคนที่รู้จักน้อยมาก เขายอมรับเลยว่าความยากอยู่ที่คือการฝึกซ้อมที่ต้องสม่ำเสมอ รวมถึงการออกกำลังกายก็มีส่วนช่วยในเรื่องความแข็งแรงของกล้ามเนื้อด้วยเหมือนกัน
“วิ่งแนวดิ่ง คือวิ่งบันไดหนีไฟ บันไดปูน ประเทศไทยตอนนี้ก็เป็นที่รู้จัก อย่างตึกใบหยก และโรงแรมบันยันทรีที่เขาจัดเป็นงานประจำปีของชาวต่างชาติรู้จักก็ตึกใบหยก เขาจะซ้อม จะมีการแข่งทุกปี แต่ปีนี้ยกเลิกไปปีนึง เพราะว่าปัญหาเรื่องฝุ่น เรื่องหลายๆ อย่าง ก็ยกเลิกไป
พอเข้ามาวิ่งจริงๆ มันก็ต้องซ้อม อาทิตย์หนึ่งมี 7 วัน เราก็ต้องซ้อมอย่างน้อย 5 วัน พอซ้อมก็ไปวิ่ง 6 โมงเช้าบ้าง ไปสู้แล้วไม่ได้ วิ่งไม่จบ ก็มาเซตร่างกายใหม่ เริ่มซ้อมตั้งแต่ตี 3 ครึ่ง ออกซ้อมวิ่งเต็มรูปแบบ
[วิ่งมินิมาราธอน สุดแปลกฝ่าดงทะเลทราย ]
ถามเพื่อนที่เขามีประสบการณ์ว่าเขาวิ่งยังไง ต้องสปีดยังไง หัดซ้อมเองจนกระทั่งตื่นตี 3 ครึ่งมา 30 กว่าปีแล้วตอนนี้ ถึงเวลาจัดระเบียบตัวเองใหม่ จะซ้อมตี 3 ต้องตื่นแล้ว ไม่ไปไหน จัดใหม่หมด 3 ทุ่มนอน แล้วตี 3 ครึ่งตื่น ซ้อมถึงตี 5 กว่าๆ แล้วก็อาบน้ำแต่งตัวออกมาทำงาน”
การเข้ามาอยู่ในวงการกีฬา ของลุงอำนาจ แน่นอนว่าจะต้องจัดตารางชีวิตตัวเองใหม่ทั้งหมด และก่อนจะมาเจอการวิ่งแนวดิ่งนี้ เขาต้องผ่านการวิ่งมาราธอนทั้งไทย และต่างประเทศมานับไม่ถ้วนแล้ว
“บ้านเรามีรายการวิ่งทุกวันอาทิตย์ บางงานก็วันเสาร์ ก็จะลงสมัครไปทุกงาน ดูโปรแกรมที่ไปได้ ไม่ไกลมาก ไปแล้วไม่เสียงาน ก็ลงแข่งทุกอาทิตย์ ลง 10 กิโลบ้าง ลง half บ้าง ลงมาราธอนบ้าง คืออาทิตย์หนึ่งมี 4 รายการก็ลงตลอดไม่เคยขาด
มาราธอนไม่เคยได้แชมป์ แต่จะได้พวกฮาร์ฟมาราธอน ได้รองแชมป์ พอมีถ้วยบ้าง นานๆ จะได้ถ้วยสักใบหนึ่ง มีกีฬาเดียวที่วิ่งแล้ว ลงรายการแล้ว ค่าใช้จ่ายไม่มากเท่าไหร่ เดินทางง่าย เสื้อผ้าชุดเดียวก็วิ่งได้แล้ว รองเท้าคู่หนึ่งก็ไปวิ่งกับเพื่อนร่วมฝึกได้แล้ว”
ด้วยความเป็นคนความชอบใหม่ของชายวัยเกษียณคนนี้ ถามว่าวิ่งทางราบไม่รู้สึกตื่นเต้น และไม่ประสบความสำเร็จหรือ ถึงหันเหชีวิตมาทางนี้
“ทางราบมันวิ่งมาหมดแล้วทุกงาน ทั้งเมืองไทยเมืองนอกวิ่งแนวทางเรียบ มันก็รู้สึกปกติไปแล้ว รู้เห็นสภาพว่าเราหมดแรงยังไง
ก็เลยลองแนวดิ่งดู ได้พบว่าไม่เหมือนชาวบ้านเขา หนักกว่า ซ้อมหนักกว่า และก็หลายๆ อย่าง ต้องรักษาตัวเองให้ดีด้วย เพราะไปซ้อมพวกนี้ เราจะไปเกเรไม่ได้เลย จะต้องตั้งใจ เพราะจะไปแข่งต่างประเทศด้วย ถ้าซ้อมไม่ถึง อย่าไป”
ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา!!
ไม่น่าเชื่อว่า การวิ่งแนวดิ่ง กลับกลายเป็นบันไดซะเอง ที่พาผู้ชายวัย 68 คนนี้ ออกจากวังวนเดิมๆ ไปเจอกับเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ ได้เดินทางวิ่งไปทั่วโลก และเป็นนักวิ่ง “ Vertical Run” ระดับโลก
ถ้าจะบอกว่าลุงอำนาจ มีวันนี้ได้เพราะความผิดพลาด ก็คงไม่เกินจริงไปนัก เพราะเมื่อย้อนกลับไปหลักฐานที่มีให้เห็นเด่นชัด ตั้งแต่เขาเป็นวัยรุ่น จนกลายเป็นการทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“อดีตนานมาแล้ว เคยทำตัวเสเพล ตอนนี้เลิกหมดแล้ว อดีตที่ผ่านมาสมัยวัยรุ่นเราเดินทางผิด แต่ตอนนี้หยุดหมดแล้ว ไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว และจะไม่ทำเด็ดขาด
ตอนนั้นก่อนจะเข้าวงการวิ่ง อายุ 30 กว่าปี ก็เริ่มเป็นคนที่ขี้เมาแล้ว ตอนนั้นหมดสภาพ ไม่เหลือภาพที่ว่าเป็นคนดีๆ เขาทำกัน คือขาดสติ
ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงสุขภาพ คิดไม่ได้ กินได้เมาได้ ก็ไปของมันเรื่อย ไม่ได้ไปสนใจ เพราะสมัยนั้นไม่ได้คิดออกกำลังกาย เจอเหล้าก็กิน เฮฮากับเพื่อนฝูงไปเรื่อย สัมพันธ์ไปทั่ว ไม่ได้คิดว่าตัวเองต้องรักษาสุขภาพ หรือว่าร่างกายจะทรุดโทรมยังไง ไม่ได้คิดถึงตรงนั้น คิดถึงอย่างเดียวว่าเจอที่ไหน ใครชวนไปกินที่ไหน ไปหมด”
แน่นอนว่าการที่ออกไปจากบ้านทุกครั้งของเขา เป็นการออกไปสังสรรค์ จนทำให้ครอบครัวมีปัญหา เลิกกับภรรยา รวมทั้งลูกสาวก็ไม่คุยด้วย เพราะรับสภาพของผู้เป็นพ่อไม่ได้
“(ครอบครัว) ห้ามไม่ได้ ห้ามยุ่ง ก็ลืมตัว เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับครอบครัวเท่าไหร่ ตอนนั้นมองข้าม มัวแต่ขี้เมา กินเหล้า เฮฮาไปเรื่อย ก็เลยลืมครอบครัวไป แต่ก็ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน ก็อยู่กับครอบครัว อยู่กับลูกสาว น้องๆ ก็อยู่ด้วยกัน แต่ว่าพอผมเมาน้องๆ จะไม่ยุ่งด้วย เพราะเขาห้ามแล้วไม่เชื่อ
พ่อขี้เมากลับบ้าน ลูกสาวเขาไม่ชอบ เขาห้ามหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เชื่อ กลับบ้านดึก ตี 5 อย่างนี้ กลับสว่างอย่างนี้
ข้าวลูกก็ไม่กิน เรียกก็ไม่กิน จนข้าวบูดอย่างนี้บ่อยๆ ถ้าพ่อไม่กินลูกก็ไม่กิน หลายๆ ครั้งเข้า ก็ไม่คุยด้วย
ตอนนั้นเขาเริ่มโตจะเป็นสาวแล้ว เขาก็ไม่ชอบให้พ่อเข้าไปกอด เข้าไปหอม มันเหม็นเหล้า ปากเหม็นอะไรอย่างนี้ กลิ่นบุหรี่ ลูกไม่ชอบมาก
ตอนเช้าเขาเป็นคนเปิดประตูให้เข้าบ้าน เห็นพ่อได้กลิ่นหึ่งมาก็หน้าบึ้ง ไม่อยากคุยด้วยแล้ว ปึ๊ง(ปิดประตู)นอน ต่างคนต่างไป”
ถามไปว่าเมื่อถูกปฏิเสธจากลูกสาวแบบนี้ รู้สึกยังไงตอนนั้น เขาเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะคนที่กินเหล้าเมื่อโดนครอบงำ ก็ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกจุดนั้นไปแล้ว
“กำลังสนุก วัยรุ่น ไม่คิดว่าไม่ชอบ คือคนกินเหล้าไม่ได้คิด คิดแค่ว่าเย็นนี้กินที่ไหน จะเจอเพื่อนที่ไหน จะไปเฮฮาที่ไหนอย่างเดียว”
นอกจากนี้เขายังเล่าว่า กว่าจะมาถึงจุดเปลี่ยนแปลงตัวเอง หักล้างนิสัยเก่าๆ ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะตอนเริ่มเข้าวงการวิ่ง เขายังคงเป็นนักดื่ม
“มันไม่ถึงกับเป็นจุดเปลี่ยน ตอนนั้นกำลังสนุกกับการทำตัวไม่ถูกต้อง ยังสนุกอยู่ จนกระทั่งเรามา เห็นเขาวิ่งกัน ไม่ได้คิดได้นะ ก็เฮ้ย!! วิ่งได้ไง เราก็มองเขาวิ่ง ออกกำลังกาย เห็นเพื่อนๆ รุ่นพี่เขาวิ่งกัน เราก็ไปยืนมองเขาวิ่ง (ก็คิดว่า) วิ่งได้ไง เราก็ยืนมองเขาก่อน แล้วครั้งหนึ่งก็เข้าไปลองวิ่งดู วิ่งสัก 1 กิโลก็หมดแรง วิ่งไม่ได้
ใช่(กินเหล้าด้วย ออกไปวิ่งด้วย) เมาไป เช้าก็ไปต่อ วิ่งก็ไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้ซ้อมมาก่อน ใครไปวิ่งก็วิ่งตามเขาอย่างนี้ พอวิ่งตามก็ไม่ไหว แล้วพอสมัครวิ่งจริงๆ ได้เบอร์วิ่งจากเพื่อนมา ก็วิ่งไม่ได้วิ่งไม่ถึงกิโล ไม่เกิน 5 เสาไฟฟ้าก็หมดแรงแล้ว ถ้ากินทั้งเหล้า สูบบุหรี่นี้ หน้าอกแห้ง คอแห้ง ขาอ่อน ทุกอย่างออกอาการ หายใจไม่ออก”
เหมือนว่าบทบาทการเป็นคนรักสุขภาพของเขา ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ทำให้นึกสงสัยไม่ได้ว่าผู้ชายที่ออกปากว่าเคยเสเพลคนนี้ จะกลายเป็นคนวัย 68 ที่ยังคงฟิตอย่างไร เขาเผยรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนจะตอบอย่างจริงจังให้ฟังว่า เขาได้รับคำปรึกษาจากรุ่นพี่นักวิ่ง และดูเขาเป็นแบบอย่าง จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจ
“พอมาเข้าวงการวิ่ง เริ่มวิ่งแล้ว เอาจริงแล้ว ก็เห็นเพื่อนๆ นักวิ่งรุ่นพี่ที่เขาทำตัวถูกต้อง เห็นเขาวิ่งก็ได้รางวัลกัน ขึ้นรับถ้วยจากรางวัล มีเงินรางวัลบ้างเล็กน้อย เราก็มองว่าพี่เขาวิ่งกันได้ไง ก็ไปถามเขา เขาก็บอกว่าเขาก็วิ่งซ้อมปกติ แล้วเขาก็ไม่ได้กินเหล้า ดูดบุหรี่ ถ้าอยากจะวิ่ง You จะต้องหยุดตรงนี้นะอำนาจ ถ้าคุณอยากจะวิ่ง อำนาจจะต้องหยุด อย่าไปกินเหล้า
เราก็ได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่รุ่นผู้ใหญ่ ตอนนี้ก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว น่าจะเลิก(วิ่ง)ไปแล้ว ตอนนี้ถ้าชีวิตยังอยู่อายุน่าจะ 80-90 แล้ว ก็ลองหยุดดู ก็ใช้เวลาสักพักนึง กว่าจะได้หยุดเด็ดขาด 100% แต่ตอนนี้หยุด 100% มา 30 กว่าปีแล้ว
พอบอกกับตัวเองว่าพอแล้ว ก็หยุดกินทั้งเหล้า และบุหรี่พร้อมๆ กันเลย แล้วก็ไม่แตะต้องอีกเลย แต่ก็ไม่ได้รังเกียจคนกินเหล้านะ นั่งคุยนั่งได้ แต่ผมก็นั่งกินเป๊ปซี่ กินน้ำ กินอะไรไป แต่ตัวเองตัดขาดแล้วไม่กิน คือก็ไม่เคยจับอีกเลย
ตอนแรกก็น้ำลายไหลเหมือนกัน เห็นเขากินก็อยาก แต่ตั้งใจว่าอาทิตย์หน้าจะมีแข่ง จะมีวิ่งก็จะห่างไปเรื่อยๆ แล้วก็ตัดใจได้ 100% ไม่กลับไปอีก”
เทียบงานวิ่งไทย Vs ต่างประเทศ ต่างกันที่กฎระเบียบ!!
“ถ้าหากเราซ้อมถึง ใจเราพร้อมแล้วป้องกันตัวเอง ไม่อันตรายหรอกครับ เพราะว่าที่ต่างประเทศงานกีฬาแนวดิ่ง เป็นที่นิยมมาก ผมก็เป็นสมาชิกที่เรียกว่า Tower Running เป็นสมาชิกเขาอยู่ เขามีแข่งที่ไหน เขาจะส่งจดหมายมาเชิญ ให้ไปวิ่งฟรีบ้าง ไปร่วมด้วย"
เรียกว่าไม่ธรรมดาสำหรับคนวัย 60 ที่ซึ่งถือว่าฉีกกฎคนวัยเกษียณทั้งหมด ทั้งทำงาน วิ่งมาราธอน หรือวิ่งขึ้นตึกสูงๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่มากกว่า 10 ตึก
“ถ้าขึ้นตึก แถบเอเชียที่มีวิ่ง ก็วิ่งหมดแล้ว ยกตัวอย่างเช่น จีน ปักกิ่ง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ฮ่องกง ญี่ปุ่น ที่มีวิ่งในตึกไปวิ่งมาหมดแล้ว จริงๆก็ไปมาหมดแล้วแถบเอเชีย คราวนี้ก็ออกไปทางยุโรป ไปวิ่งที่ทางฝรั่งเศส ไปอเมริกา ไปอิตาลีมา ไปจะหมดแล้วที่มีวิ่ง”
ถามว่าประเทศไทย และต่างประเทศ เทียบการจัดงานวิ่งได้มั้ย ในฐานะสายตาคนที่วิ่งมาทั่วโลกนี้ เขาเปรียบเทียบการจัดงานวิ่งดิ่งตึกใบหยก และหอไอเฟลว่าไทยเทียบเท่าต่างประเทศได้ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือต่างประเทศไม่มีการแบ่งอายุ
“คือถ้าเป็นบ้านเรา ตึกใบหยก ยกตัวอย่างเขาจะดีอย่างที่ว่าเป็นเจ้าแรกที่เมืองไทยที่จัด เขามีการแบ่งกลุ่มอายุแบบวิ่งมาราธอนทั่วไป มีการแบ่งอายุกลุ่มรุ่น 10-20 ปี 30 - 50 ปีไปแข่งแยกกลุ่มกัน ผม 60 กว่าก็อยู่กลุ่มพวก 60 จะไปแข่งกับพวกวัยรุ่น เด็กๆ ไม่ได้ ก็แบ่งกลุ่มอายุไว้ แต่ต่างประเทศไม่มีแบ่ง open ครับ
ทางด้านวินิจตึกเขาจะมีพยาบาล หรือทีมแพทย์ดูแลอยู่ ทุกๆ 2 ชั้น 3 ชั้น หรือทุกๆ 5 ชั้น จะมีทีมพยาบาลรอเราอยู่ ถ้าเราไม่ไหวเราต้องออก เราต้องรู้ตัวเองด้วย ถ้าไม่ไหวจริงๆ อย่าฝืน จะมีเจ้าหน้าที่รออยู่ มีพยาบาลเขารออยู่ ถ้าไม่ไหวก็ออกเท่านั้นเอง ก็ไม่ได้เสียหายอะไร
แต่ว่านักวิ่งที่ไปส่วนมากจะ 100 % ไม่มีใครไปถอดใจกลางทาง ไม่มี ที่เคยเจอมานะ ที่วิ่งด้วยกันมาไม่เคยออกกลางทาง ไม่มีครับ แต่ละตึกจะไม่เหมือนกัน อย่างตึกใบหยกปล่อยตัวครั้งละ 10 คน ใช้ชิปจับเวลาติดอยู่ที่รองเท้า แล้วก็ไปจุด finished ที่ยอดบนสุดท้าย แล้วก็หยุดจับเวลา เอาเวลาดีที่สุดของแต่ละรุ่น (มาจัดอันดับที่ดี) มาได้รางวัล
ไอเฟลจะปล่อยทีละคน ไอเฟลมันแคบ 1 นาที นาทีละคนๆ เขาให้ไปทีละคน เขาจะจับเวลาตั้งแต่ชั้นพื้นล่าง ไปถึงชั้น 2 เห็นภาพไอเฟลจะมองเห็นเป็น 2 ชั้น 3 ชั้นอยู่ เขาจับเวลาแค่ชั้นแรกไม่ผ่านก็ตัดออกเลย”
ไม่เพียงแค่นั้น สำหรับวิธีฝึกซ้อมก่อนลงสนามจริง ระหว่างไทยและต่างประเทศ ยอมรับว่าความถี่ของบันได ความชัน ความกว้าง ของตึกที่ไปวิ่งนั้น แตกต่างกันมาก ทำให้เขาจะต้องซ้อม และฝึกจากสถานที่ทำงานให้ได้เทียบเท่า 100 ชั้น โดยจะวิ่งขึ้น 4 รอบ ลง 4รอบ เพื่อฝึกระบบกล้ามเนื้อให้ชิน รวมทั้งระบบหายใจด้วย
“คือถ้ามีรายการแข่งก็จะซ้อมอย่างน้อยอาทิตย์ละ 100 ชั้น ถ้าตึกสูง 30 ชั้นก็วิ่งขึ้น แล้วก็เดินลง ให้ได้ 100 ชั้น วิ่งขึ้น 100 วิ่งลง 100 ถ้าไปแข่งรายการนักวิ่งก็ใช้ความอดทน ซ้อมให้ถึง ถ้าซ้อมไม่ถึง อาจตายกลางตึก
เราจะมีโปรแกรมประจำปีอยู่แล้ว ว่าปีนี้ เดือนนี้ ผมจะไปประเทศไหน แข่งตึกไหน เราจะมีโปรแกรมอยู่แล้วก็ตั้งใจซ้อมให้ดี ซ้อมให้ถึง ฝึกหายใจ ฝึกกล้ามเนื้อ ฝึกทุกอย่าง เพราะในตึกจะไม่มีอากาศหายใจ เราก็พยายามซ้อม อย่างตึกนี้ (Skyview compass ) ซ้อมอยู่ก็ไม่มีอากาศหายใจ ทางหนีไฟโล่งๆ อย่างนี้ ร้อน อบอ้าว ก็ต้องฝึก คือต้องเซฟตัวเอง เพราะว่าอาจจะไปล้ม ไปชนบันไดแขนขาหัก ไม่มีใครรับผิดชอบ ต้องเซฟตัวเองด้วย”
วัย 68 ฟิต-เฟิร์ม เพราะ “วิ่ง”
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่เห็นรุ่นพี่รับรางวัล จากการวิ่ง แปรเปลี่ยนมาเป็นนักวิ่งดิ่งระดับโลก และทุกคนยอมรับกับความสามารถของเขา บ่งบอกได้ถึงความพยายามอย่างหนักของเขาได้เป็นอย่างดี
และทุกครั้งที่ได้วิ่ง สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดสำหรับคนที่เคยออกกำลังกายอย่างเขาแล้ว สามารถเห็นร่างกายของตัวเองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยอายุที่เยอะ หลายคนก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้
“ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาเรื่องข้อเข่า ยังไม่เจอ รู้สึกกลัว แต่ยังไม่มี ยังมั่นใจว่ายังไม่เจ็บ ยังปกติอยู่ ตอนนี้สำคัญอันดับ 1 ของชีวิตเลยต้องวิ่ง ออกซ้อม ออกกำลังกาย เจอเพื่อน แต่ตอนเช้าเราวิ่งคนเดียวที่หมู่บ้าน เช้าๆ ตี 3 ตื่นขึ้นมา เพราะอยู่คนเดียว ช่วงหลังก็มีชาวบ้านมาวิ่งด้วย เขาก็วิ่งกันไป แต่เรามีเป้าหมายว่าต้องซ้อมให้ได้ 10 กิโล จะช้าจะเร็วอีกเรื่องหนึ่ง
เช้าๆ ตื่นต้องออกไปวิ่งแล้ว ไม่เคยพลาด ยกเว้นว่าอาทิตย์นี้ หรือเดือนนี้ไม่มีงานวิ่ง เราอาจจะพักบ้าง แต่ส่วนมากไม่เคยพักนานเกินอาทิตย์หรอกครับ จะต้องออกมาซ้อม มาออกกำลังกายเรื่อยๆ ให้เหงื่อออกกับตัวเอง”
เมื่อผู้สัมภาษณ์ได้คุยกับลุงอำนาจสักพัก สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน นอกจากความตรงไปตรงมา รูปร่างที่ฟิต ผิดกับที่เขาเคยบอกไว้ว่าเคยโทรม จนถึงขั้นรับไม่ได้มาแล้ว คือความสุขใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มเสมอ
ซึ่งเขาก็มองว่าการพบการวิ่ง คือความสุขที่แท้จริง ซึ่งหากจะถามถึงเคล็ดลับอะไรทำให้เขาฟิตตลอดเวลาอย่างนี้ ชายที่นั่งอยู่ข้างหน้ายังคงยืนยันว่าเป็นเพราะการวิ่งนี่แหละ ที่ทำให้เขายังฟิตและเฟิร์มอยู่ตลอดเวลา
“กินอาหารปกติ ไม่ได้ควบคุมอะไรทั้งสิ้น อาจจะมีวิตามินเสริมบ้างเล็กน้อย บำรุงกระดูกบ้างเล็กน้อย เพราะว่าแนวดิ่งมันใช้พลังมากกว่าธรรมดา ข้อเข่าบำรุงยานิดหน่อย
ดูแลตัวเองด้วยการวิ่งนี่แหละ วิ่งทุกวัน อาทิตย์ละ 5 วัน หรือวันอาทิตย์ก็ไปแข่ง ช้าๆ ก็เป็นการออกกำลังกาย รักษาตัวเองด้วยการนอนเป็นเวลา ลดภารกิจต่างๆ ที่ไม่จำเป็น ลดอบายมุขออกไปบ้าง เพราะเราผ่านเรื่องพวกนั้นมาแล้ว ก็ไม่ได้ไปยุ่งเท่าไหร่ สังสรรค์ก็มีเพื่อนคุยปกติ แต่จะไปนั่งเฮฮาถึงตี 2 ถึงตี 3 ไม่ได้ทำมานานแล้ว
เลิกเพราะว่าเราไม่มีเวลา เพราะเช้าเราจะต้องตื่น สังสรรค์ดึกดื่นไม่มี ญาติพี่น้องจะมากินเหล้าปกติ แต่เราจะขอนอนก่อน เพราะตอนเช้าจะต้องตื่นไปทำภารกิจ ออกไปวิ่ง ออกไปซ้อมนี่แหละ
ชีวิตมันก็ไม่ได้เปลี่ยนมากมาย แต่มั่นใจว่าดีกว่าเก่า ตอนนี้เรายังทำงานอยู่ จริงๆ เขาปลดเกษียณไปตั้งแต่อายุ 50 กว่า 60 แล้ว แต่ผมยังทำงานอยู่ ก็ยังไหวอยู่ ทางเจ้านายที่ทำงานยังให้ทำงานอยู่ ตัวผมไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ยังทำงานปกติ มาเช้ากลับเย็นปกติ ไม่เคยขาด แม้แต่วันเดียวในการทำงาน แม้ว่าอายุมากก็จริง แต่ทำงานเต็มเวลา ไม่เคยเบียดบังเวลาของบริษัทแม้แต่นิดเดียว”
ตลอดระยะเวลา 30 ปี ที่อยู่ในวงการวิ่งนี้ เขาพูดได้เต็มปากว่าไม่เคยคิดจะเกษียณตัวเอง ตามอายุที่ใครๆ ต่างกังขา ซึ่งตลอดในการคุย ไม่มีแม้แต่อารมณ์แห่งความไม่พอใจ ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของชายคนนี้ เมื่อถูกถามถึงความคิดการเกษียณตัวเอง หยุดวิ่ง-ลาออกจากการทำงาน อย่างลุงอำนาจ นักวิ่งชาวไทยเพียงคนเดียวที่พิชิตหอไอเฟลสำเร็จ
“เกษียณไม่ได้ตั้งเป้าไว้ เราจะวิ่งไปเรื่อยๆ อีก 10 ปี ก็ไปจนถึงที่สุด ยังไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะเลิกปีนู้น ปีนี้ จะไปให้ถึงที่สุดของการวิ่ง
คือตั้งใจว่าถ้ามีวิ่งต่างประเทศอยู่ จะไปทุกมุมโลกที่เขามีวิ่ง ถ้ามีวิ่งใกล้ไกลขนาดไหน ก็ยังต้องไป ขึ้นตึกก็ไป ใกล้ไกลเราก็ไป”
...จาก “ขี้เหล้า-ติดบุหรี่” จนลูกสาวต้องถอยหนี สู่คุณพ่อวัยเกษียณสุดเก๋า “นักวิ่งแนวดิ่งระดับโลก” หนึ่งเดียวในเมืองไทย!!...
— livestyle.official (@livestyletweet) March 9, 2020
>>> https://t.co/c6jPYuYJ1u
.#LIVEstyle #เลิกเหล้า #เลิกบุหรี่ #นักวิ่ง #นักวิ่งแนวดิ่ง #แรงบันดาลใจ #มาราธอน #eiffeltower #baiyokerunup pic.twitter.com/e0qW8f1aF0
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ภาพ: พลภัทร วรรณดี
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **