หลังคว้าแชมป์จากรายการ Master Chef Thailand ซีซั่น 3 แมกซ์-นันทวัฒน์ จรรยาลิขิต ก็กลายเป็นเซเลบริตี้เชฟที่น่าจับตามองที่สุดในพ.ศ.นี้
นอกจากเชฟแมกซ์จะสวมหมวกเป็นสจ๊วตสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส และเจ้าของร้านขนม Nanafruit Dessert ที่เชียงใหม่แล้ว ล่าสุดเขายังสวมหมวกอีกใบด้วยการเป็นอาจารย์พิเศษให้กับสาขา Culinary Arts and Design คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งเป็นหลักสูตรนานาชาติด้านศิลปะการประกอบและออกแบบอาหาร หลักสูตรนี้ไม่เพียงแค่สอนการประกอบอาหาร แต่ยังสอนตกแต่งอาหารให้สวยงาม น่ารับประทาน และออกแบบประสบการณ์การกินในรูปแบบใหม่ๆ ว้าวๆ ซึ่งนับว่าเข้าทางเชฟแมกซ์มาก เพราะถ้าใครติดตามรายการจะเห็นว่า เชฟแมกซ์มีความโดดเด่นเรื่องการปรุงอาหารได้อร่อย แถมยังตกแต่งอาหารได้สวยงามและออกแบบการรับประทานได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจด้วย
“ผมอยากเป็นอาจารย์มานานแล้ว เพราะเคยมีรุ่นน้องมาให้ผมสอนทำขนม” เชฟแมกซ์เกริ่นถึงแรงบันดาลใจในการมาเป็นครูสอนทำอาหาร “เรารู้สึกสนุกที่ได้ถ่ายทอดความรู้ ยิ่งเขาทำตามได้และเอาความรู้ไปใช้ได้จริง เราก็ยิ่งดีใจ นอกจากนี้ผมเคยทำเพจแจกสูตรขนม แล้วมีคนนำสูตรไปทำกิน ทำขาย ลูกค้าบอกอร่อย ซึ่งเป็นจุดประสงค์ในการทำเพจของเรา ก็ทำให้ผมรู้สึกแฮปปี้มาก”
แมกซ์เป็นคนชอบความท้าทาย การทำอาหารและขนมก็เป็นความท้าทายหนึ่ง เพราะเหมือนเป็นวิทยาศาสตร์ที่ต้องชั่งตวงวัดอย่างแม่นยำให้ผลงานออกมาดีที่สุด เช่นเดียวกับการเข้าแข่งขันในรายการ Master Chef Thailand ก็เพราะท้าทายความสามารถของตนว่า การทำอาหารที่เขาทุ่มเทมาตลอดนั้นจะให้ผลลัพธ์อย่างไร ส่วนการเป็นอาจารย์พิเศษสาขา Culinary Arts and Design มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ก็เป็นความท้าทายใหม่ในชีวิต
“การเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งกดดันและท้าทายความสามารถมาก เพราะเราไม่ได้เรียนจบการทำอาหารมาโดยตรง และการสอนหนังสือไม่ใช่แค่ทำให้นักศึกษาดู แต่เราต้องสอนให้เขาทำเป็น ต้องรู้ลึกกว่าสิ่งที่พวกเขาเห็น มีเรื่องทฤษฎีเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ต้องบอกนักศึกษาได้ว่าทำไมถึงต้องตีแป้งให้ขึ้นฟู แป้งตีขึ้นฟูได้เพราะอะไร เราจึงต้องไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้รู้รอบด้าน เพราะเราไม่รู้ว่าจะเจอคำถามอะไรบ้าง บางอย่างเรารู้อยู่แล้ว แต่คนที่ทำไม่เป็นเขาอาจไม่รู้และมาถามด้วยความสงสัย เราจึงต้องหาทฤษฎีมาอยู่ในหัวเราให้มากที่สุด จะได้ตอบเขาได้อย่างถูกต้อง”
ส่วนเส้นทางการมาเป็นอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เขาเล่าให้ฟังว่า “อันที่จริงเคยมีอาจารย์ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพชวนมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ผมติดการแข่งขันในรายการ พอเราชนะการแข่งขันและทางมหาวิทยาลัยก็ชวนมาอีกครั้ง เลยคิดว่าเราไม่ควรปล่อยโอกาสนี้ไปอีก และพอได้ตำแหน่งแชมป์มาก็ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น กว่าจะมาถึงจุดนี้เราต้องศึกษาเพื่อเอาไปใช้ในการแข่งขันมากพอสมควร ซึ่งสิ่งที่เราศึกษามาน่าจะมีประโยชน์ต่อนักศึกษามาก และการเป็นแชมป์ก็การันตีว่า สิ่งที่เราเรียนรู้มาทำให้เรามีศักยภาพพอจะสอนนักศึกษาได้ไม่แพ้คนที่จบทางสายอาหารโดยตรง”
นอกจากนี้เชฟแมกซ์ยังเตรียมนำประสบการณ์อันเข้มข้นจากรายการอันถือเป็นเอกสิทธิ์ส่วนตัวของเขา มาถ่ายทอดให้นักศึกษาสาขา Culinary Arts and Design มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ด้วย
“ในรายการเป็นการทำอาหารโดยใช้เวลาที่จำกัดมาก ซึ่งเป็นคุณสมบัติของเชฟที่ดี นักศึกษาจึงต้องทำอาหารภายในเวลาจำกัดให้ได้เช่นกัน ส่วนประสบการณ์อื่นๆ ก็นำมาใช้สอนได้อยู่แล้ว อย่างในรายการจะเห็นว่าผมทำอาหารและขนมที่ธรรมดาให้มีหน้าตาพิเศษ หรือใช้วิธีการและลูกเล่นที่ทำให้ว้าวขึ้น คือทำของง่ายๆ ให้ดูยากนั่นเอง ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้เราต้องมีพื้นฐานที่แน่นพอ ซึ่งจะช่วยให้สามารถต่อยอดทำขนมที่ยากขึ้นต่อไปได้ ผมจึงอยากสอนพื้นฐานให้เด็กๆ เพราะถ้าเขามีพื้นฐานที่แน่น การต่อยอดในเลเวลที่สูงขึ้นจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา”
เชฟแมกซ์ยังกล่าวด้วยว่า ดีใจมากที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพเปิดสอนสาขา Culinary Arts and Design นี้ เพราะสะท้อนให้เห็นตลาดงานของเชฟที่กว้างและเติบโตมากขึ้น จบไปแล้วมีงานทำแน่นอน ทั้งยัง “อินเทรนด์” เพราะสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ที่ไม่ได้ต้องการแค่รสชาติ แต่ชอบหน้าตาอาหารด้วย
“การเรียนสาขานี้จะทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น อย่างสมมติคน 10 คนทำคุกกี้เหมือนกัน แต่เราจะทำอย่างไรให้คนมาซื้อคุกกี้ของเราล่ะ ถ้าไม่ใช่ดีไซน์ที่สวยงามและน่าสนใจมากขึ้น เหมือนเราที่ชอบดูดาราสวยหล่อหรือดูดีก่อน แล้วค่อยดูฝีมือการแสดง เรียกว่าสาขานี้จะสอนทำอาหารให้สวยทั้งรูป จูบก็หอมครับ”
แม้อายุจะยังน้อยและไม่ได้เรียนจบด้านการประกอบอาหารมาโดยตรง แต่ด้วยใจรักในการทำอาหาร บวกประสบการณ์ทั้งจากรายการ Master Chef Thailand และการทำร้านขนมของเชฟแมกซ์ ทำให้มั่นใจว่า เขาจะทำหน้าที่อาจารย์สอนนักศึกษาสาขา Culinary Arts and Design มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ให้เป็นเชฟที่ดีได้อย่างแน่นอน