ศาลปกครองกลาง สั่ง ม.กรุงเทพธนบุรี ชดใช้ค่าเสียหายกรณีเปิดสอนปริญญาโท หลักสูตรศึกษาศาสตร สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ไม่ได้มาตรฐาน ทำคกก.คุรุสภาไม่ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษาให้
วันนี้ (31ม.ค.) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในคดีที่นายนิโรธ นิ่มวิวัฒน์ กับพวกรวม 18 รายซึ่งเป็นข้าราชการครูฟ้องเรียกค่าเสียหายจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี กรณีเปิดสอนปริญญาโท หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ไม่ได้มาตรฐาน เป็นเหตุให้คณะกรรมการคุรุสภาไม่ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษาให้
โดยศาลปกครองกลางเห็นว่า แม้มาตรา 45 พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 จะบัญญัติให้สถานศึกษาเอกชนจัดการศึกษาได้ทุกระดับและทุกประเภทการศึกษาตามที่กฎหมายกำหนด และให้สถานศึกษาของเอกชนที่จัดการศึกษาระดับปริญญาดำเนินกิจการได้โดยอิสระ สามารถพัฒนาระบบบริหารและการจัดการที่เป็นของตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสภาสถานศึกษา และมาตรา 34(7) แห่ง พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 จะบัญญัติให้สภาสถาบันมีอำนาจในการอนุมัติการรับนักศึกษาเพื่อเข้าศึกษาในสาขาวิชาต่างๆ ที่เปิดการเรียนการสอนได้ก็ตาม แต่ก็มิได้หมายความว่า มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีจะสามารถดำเนินกิจการได้โดยอิสระในการอนุมัติเปิดรับนักศึกษาได้ตามอำเภอใจ เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติและกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ต่างมีเจตนารมณ์ที่ต้องการให้มหาวิทยาลัยเอกชนแต่ละแห่งเปิดทำการเรียนการสอนในแต่ละสาขาวิชา และผลิตบัณฑิตในแต่ละสาขาได้อย่างมีคุณภาพ สามารถนำความรู้ความสามารถที่เล่าเรียนมา มาพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์ประโยชน์ให้เกิดแก่สังคมและประเทศชาติ
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ที่เสนอต่อคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ระบุกำหนดแผนการรับนักศึกษาและผู้สำเร็จการศึกษาในระยะ 5ปี ตั้งแต่ปีการศึกษา 2554- 2558 ไว้ว่า แผน ข ปีการศึกษาละ 490 คน การที่สภามหาวิทยาลัยได้อนุมัติให้รับนักศึกษา ในปีการศึกษา2557 จำนวน 2,545 คน จึงเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เกินไปกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ในแผนการรับนักศึกษาถึง 5 เท่า การกระทำดังกล่าวเป็นผลโดยตรงทำให้คุรุสภาพิจารณาไม่รับรองปริญญาและไม่อนุมัติการขอออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา การกระทำของมหาวิทยาลัยจึงเป็นการจงใจโดยมุ่งหวังต่อผลที่มหาวิทยาลัยจะได้รับจากรายได้ที่เกิดจากจำนวนนักศึกษาที่สมัครเข้าศึกษาในหลักสูตรนี้เป็นจำนวนมาก โดยไม่คำนึงถึงภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐที่ให้จัดการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐาน และมหาวิทยาลัยควรคาดหมายได้ว่าการกระทำดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดผลเสียหายที่จะเกิดแก่นักศึกษา เมื่อปรากฏว่าคณะกรรมการคุรุสภามีมติไม่ให้การรับรองปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา แผน ข เฉพาะนักศึกษาที่เข้าศึกษาในปี 2557 จึงรับฟังได้ว่าการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ในปีการศึกษา 2557ไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร อันเกิดจากการที่มหาวิทยาลัยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องหรือกระทำการนอกเหนือไปจากหลักสูตรที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการอุดมศึกษา เป็นการกระทำโดยจงใจและไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากนายนิโรธกับพวกสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรดังกล่าว ก็จะไม่สามารถที่จะนำวุฒิการศึกษาที่ได้รับไปขอออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษาจากคุรุสภาตามที่ตั้งใจไว้ได้อย่างแน่แท้ ดังนั้น การกระทำของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีจึงก่อให้เกิดความเสียหายแก่สิทธิของนายนิโรธและพวกต้องขาดโอกาสในการสมัครเพื่อเลื่อนระดับเป็นผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต และเป็นการกระทำละเมิดต่อนายนิโรธกับพวก
อย่างไรก็ตาม แม้วุฒิทางการศึกษาที่นายนิโรธได้รับจะไม่สามารถนำไปยื่นขอการรับรองมาตรฐานความรู้ ตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2556 ได้ แต่นายนิโรธกับพวกก็ได้รับความรู้เพิ่มขึ้นจากการเรียน อีกทั้งไม่ปรากฏว่ามีหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐหรือภาคเอกชนไม่เชื่อถือจนเป็นเหตุให้นายนิโรธกับพวกได้รับความเสียหายนอกเหนือจากกรณีดังกล่าว การศึกษาจึงยังเป็นประโยชน์แก่นายนิโรธกับพวกอยู่พอสมควร ประกอบกับขณะที่นายนิโรธกับพวกเข้ารับการศึกษายังมิได้มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะสมัครสอบคัดเลือกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว ศาลปกครองกลางจึงมีคำพิพากษาให้มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ฟ้องคดีแต่ละราย คือ ค่าลงทะเบียนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาตลอดหลักสูตร ในอัตราร้อยละ 50ของเงินค่าลงทะเบียนตามหลักสูตร จำนวน 137,000บาท เป็นเงิน 68,500 บาท 2.ค่าใช้จ่ายในการจัดทำงานค้นคว้าอิสระ เป็นเงิน 7,500 บาท และ ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาเรียน ซึ่งกำหนดค่าเสียหายให้ในอัตราร้อยละ 50ของจำนวนค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งรวมค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีแต่ละรายจะได้รับเป็นเงินประมาณคนละ 75,000-100,000 บาท