มพบ.เผยผลทดสอบ “น้ำส้มคั้นสดและน้ำส้ม 100%” พบสารเคมีตกค้าง 60% จำนวน 13 ชนิด สารกันบูด 4 ตัวอย่าง แต่ไม่เกินค่ามาตรฐาน ปริมาณน้ำตาลใกล้เคียงน้ำส้มธรรมชาติ ไม่พบการตกค้างยาปฏิชีวนะ
วันนี้ (15 พ.ย.) ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงข่าวผลทดสอบ "น้ำส้มคั้นสดและน้ำส้ม 100% เพื่อเฝ้าระวังสารเคมีตกค้าว สารกีนบูด และยาปฏิชีวนะ ว่า จากการเก็บตัวอย่างน้ำส้มจำนวน 30 ตัวอย่าง เก็บตัวอย่างเมื่อเดือนสิงหาคม 2562 โดยเก็บจากสถานที่จำหน่ายน้ำส้มคั้นสด จำนวน 25 ตัวอย่าง ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเชียงใหม่ และน้ำส้มบรรจุกล่องผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ ที่ระบุบนฉลากว่าเป็นน้ำส้ม 100% จำนวน 5 ตัวอย่าง เพื่อตรวจสอบสารเคมีตกค้าง พบว่า มีสารเคมีตกค้าง จำนวน 18 ตัวอย่าง หรือ 60% และไม่พบจำนวน 12 ตัวอย่างหรือ 40% ได้แก่ Orangee, Nalit Juice, Farm Fresh, น้ำส้มอุดมพันธ์, Oranginal, เจ้ทิพย์ จิ้ดจ้าด, Orange Juice Healthy Valley, C-orange, กรีนการ์เด็น , We are Fresh, มาลี(Malee) และ Healthy Plus
น.ส.สารี กล่าวว่า ส่วนน้ำส้มที่พบสารเคมีตกค้าง จำนวน 18 ตัวอย่าง ได้แก่ Gourmet Juice by Hai Fresh Juice พบสารเคมี 7 ชนิด, Good Monday พบสารเคมี 6 ชนิด, Farmacy by Mad About Juice พบสารเคมี 4 ชนิด, ร้านกานดา พบสารเคมี 4 ชนิด, The Orange พบสารเคมี 3 ชนิด, Smile พบสารเคมี 2 ชนิด, Juice พบสารเคมี 2 ชนิด, Kiss C. Juice พบสารเคมี 2 ชนิด, Beautea Fres hพบสารเคมี 2 ชนิด, ส่วนส้มฝากนาย, ร้าน Hurom Juice Café, ทิปโก้ส้มโชกุน, ทิปโก้ส้มเขียวหวาน, ทิปโก้ส้ม Squeeze โชกุน, ทิปโก้ส้มสายน้ำผึ้ง พบสารเคมี 1 ชนิด, โดยใน Mrs Smoothie So orange, Teddy Zero, สวนส้มธนาธร พบสารเคมี 1 ตัวอย่างในปริมาณที่มีการตกค้างน้อยมาก
"การทดสอบครั้งนี้พบสารเคมีตกค้างทั้งสิ้น จำนวน 13 ชนิด ได้แก่ Imazalil พบในน้ำส้ม 8 ยี่ห้อ, Imidacloprid พบในน้ำส้ม 8 ยี่ห้อ, Ethion พบในน้ำส้ม 5 ยี่ห้อ, Carbofuran พบในน้ำส้ม 4 ยี่ห้อ, Carbendazim พบในน้ำส้ม 3 ยี่ห้อ, Acetamiprid พบในน้ำส้ม 3 ยี่ห้อ, Carbofuran-3-hydroxy พบในน้ำส้ม 3 ยี่ห้อ, Profenofos พบในน้ำส้ม 2 ยี่ห้อ, Chlorpyrifos พบในน้ำส้ม 1 ยี่ห้อ, Methomyl พบในน้ำส้ม 1 ยี่ห้อ, Azoxystrobin พบในน้ำส้ม 1 ยี่ห้อ, Fenobucarb พบในน้ำส้ม 1 ยี่ห้อ, และ Prothiofosพบในน้ำส้ม 1 ยี่ห้อ" น.ส.สารี กล่าว
น.ส.สารี กล่าวว่า ส่วนผลการทดสอบวัตถุกันเสีย พบ 4 ตัวอย่าง แต่ไม่เกินมาตรฐาน มีกรดเบนโซอิก 3 ตัวอย่าง กรดซอร์บิก 2 ตัวอย่าง ซึ่งปริมาณที่พบอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 389 คือ ไม่เกิน 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สำหรับปริมาณน้ำตาล ผลทดสอบพบว่า ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 9.84 กรัม/100 มิลลิลิตร ใกล้เคียงกับปริมาณน้ำตาลในน้ำส้มคั้นที่เคยมีผู้วิจัย โดยอ้างอิงจากงานเว็บไซต์ CalForLife.com ที่ระบุว่า ในน้ำส้มคั้นควรจะมีปริมาณน้ำตาล 8.4 กรัม/หน่วยบริโภค 100 กรัม ขณะที่ผลทดสอบหายาปฏิชีวนะ 4 ชนิด ได้แก่ Amoxycillin, Ampicillin, Benzyl penicillin และ Tetracycline ผลทดสอบไม่พบการตกค้างยาปฏิชีวนะทั้ง 4 ชนิดในทุกตัวอย่าง แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะ
น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานการตกค้างของสารเคมีทางการเกษตรใน ‘น้ำส้มคั้นสดและน้ำส้ม 100%’ จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 356) พ.ศ. 2556 เรื่อง เครื่องดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท หรือประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม (ฉบับที่ 3635) พ.ศ. 2549 กําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมน้ำผลไม : น้ำสม มาตรฐานเลขที่ มอก. 99 – 2549 ซึ่งหมายความว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ยอมรับให้มีการตกค้างของสารเคมีในน้ำส้มคั้นสดและน้ำส้ม 100%
ตัวอย่างที่พบสารเคมีตกค้างเป็นตัวอย่างที่มาจากการคั้นสดแล้วบรรจุขวดขายโดยตรงแก่ผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์บรรจุในขวดปิดสนิทที่ได้รับเครื่องหมายอย. และรวมทั้งผลิตภัณฑ์มาตรฐานอุตสาหกรรม เสนอให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเฝ้าระวังสารเคมีตกค้างในน้ำส้มและผลิตภัณฑ์น้ำผักผลไม้ต่อเนื่องเป็นระยะจนมั่นใจว่าไม่มีการตรวจพบสารตกค้าง และประกาศให้ผู้บริโภครับทราบข้อมูลทุกครั้ง เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควบคุมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในการผลิตพืชอาหารอย่างเข้มงวดเพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชตั้งแต่ต้นทางของการผลิตอาหาร
ขณะที่ ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวว่า ผลการทดสอบไม่พบยาปฏิชีวนะทั้ง 4 ชนิดในทุกตัวอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี เห็นพัฒนาการที่น่าพอใจ เพราะเคยมีรายงานในปี 2560 พบการตกค้างของยาปฏิชีวนะในน้ำส้ม แม้จะมีปริมาณไม่มาก อย่างไรก็ดี การไม่พบอาจยังไม่ได้ยืนยันว่าไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะจากงานวิจัยปีล่าสุดพบว่า สวนส้มมีการใช้ยาปฏิชีวนะมากถึง 95% เรื่องนี้คงต้องศึกษาถึงการใช้และการตกค้างของเชื้อดื้อยาและ/หรือ ยีนส์เชื้อดื้อยา ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะในการปลูกส้มอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนงาน หากตกค้างย่อมส่งผลต่อผู้บริโภคและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลายด้าน ที่ต่อเนื่องถึงคุณภาพดินและแหล่งน้ำ
“ทุกวันนี้เรามีการใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรค ทำให้เรามีโอกาสที่จะได้รับยาดังกล่าวอยู่แล้ว และหากเรารับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนบ่อยๆ ก็อาจทำเราได้รับยาปฏิชีวนะในปริมาณที่มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งการได้รับยาดังกล่าวบ่อยครั้งจะส่งผลให้เกิดอาการแพ้ยา และรวมถึงเกิดเชื้อดื้อยา ส่งผลให้จำเป็นต้องใช้ยาที่แรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายอาจไม่มีตัวยาใดมารักษาได้เลย อีกทั้งยังคาดหวังว่ารัฐบาลจะกำกับให้มีนโยบายที่ชัดเจนในการลดการใช้ยาปฏิชีวนะในทางการเกษตรและยกเลิกการใช้ในท้ายที่สุด รวมถึงมีกลไกสนับสนุนในการทำเกษตรอินทรีย์” ผศ.ภญ.ดร.นิยดากล่าว