ปปง. มั่นใจสรุปทุจริตกองทุนเสมาฯ ส่อฟอกเงินได้เร็ว ผู้กระทำผิดโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี เพราะไม่ซับซ้อน ด้าน ศธ. เตรียมล้อมคอก นำระบบไอซีทีตรวจสอบการเบิกจ่ายเงิน
วันนี้ (15 มี.ค.) ที่กระทรวงศึกษาธิการ นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) หารือร่วมกับ นายวิทยา นีติธรรม เลขานุการกรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เกี่ยวกับกรณีการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต โดย นายวิทยา เปิดเผยภายหลังการหารือ ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยเฉพาะเรื่องเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน ดังนั้น ทาง ปปง. จึงเร่งประสานงานกับ ศธ. ซึ่งปลัด ศธ. ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดย ได้รวบรวมเอกสาร หลักฐานและข้อมูลต่างๆ ได้ค่อนข้าง ครบถ้วน สมบูรณ์ ชัดเจน ซึ่งเอกสารเหล่านี้ช่วยให้ ปปง. ทำงานได้ง่ายขึ้น เชื่อว่าเรื่องนี้จะสามารถสรุปผลได้เร็ว เพราะไม่ใช่เรื่องที่สลับซับซ้อน
นายวิทยา กล่าวว่า ส่วนเรื่องการอายัดบัญชีบุคคล 22 รายที่รับโอนเงินของกองทุนเสมาฯ นั้น ซึ่งหลักฐานที่ปลัด ศธ. มอบให้ค่อนข้างสมบูรณ์ โดยมีทั้งบันทึกคำรับสารภาพ ข้อมูลบันทึกรายการเคลื่อนไหวของบัญชี หรือ สเตทเมนท์ และบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง ทาง ปปง. ขอเวลาไปตรวจสอบรายละเอียดก่อนเพื่อขยายผลว่ามีใครที่เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อมูลที่ได้รับจากปลัด ศธ. เชื่อว่า ใช้เวลาไม่นานจะสามารถสรุปผลและนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรมของ ปปง. ในสัปดาห์หน้า โดยคณะกรรมการธุรกรรมฯ เป็นผู้มีอำนาจในการอายัดทรัพย์สิน ซึ่งจะพิจารณาว่าจะมีการอายัดทรัพย์อะไรบ้าง และแม้ว่าเงินจะเข้าออกบัญชีค่อนข้างเร็ว และทรัพย์สินได้จ่ายโอนไปแล้ว ทั้งนี้ กฎหมายของ ปปง.ก็สามารถเข้าไปติดตามเส้นทางการเงินได้
“ในกรณีที่เปิดบัญชีรับโอนเงินที่เป็นการยักยอก ฉ้อโกง จะมีความผิดฐานฟอกเงินด้วย ซึ่งผู้ที่รับโอนทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิด นอกจากมีความผิดฐานทุจริตซึ่งเป็นคดีอาญาแล้ว ยังมีความผิดฐานฟอกเงินด้วย มีโทษจำคุกไม่เกิน10 ปี สำหรับบัญชีที่ปิดไปแล้วก็สามารถไล่ได้ว่าเงินไปอยู่ที่ใครและผู้ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีนั้นจะต้องถูกตรวจสอบและรับผิดชอบด้วย ส่วนบัญชีที่เสียชีวิตไปแล้วก็ตรวจสอบการเงินได้ เพียงแต่เอาผิดผู้เสียชีวิตไม่ได้” นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวว่า เท่าที่ดูข้อมูล เอกสาร ในเบื้องต้นกองทุนเสมาฯ มีการวางกฎเกณฑ์ ระเบียบไว้ค่อนข้างรอบคอบ รัดกุม แต่ที่เกิดปัญหาขึ้นมาน่าจะเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จึงไม่มีการตรวจสอบว่าได้มีการโอนเงินไปยังสถานศึกษาจริงหรือไม่ ส่วนการทุจริตครั้งนี้ผู้บังคับบัญชาจะต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยหรือไม่ นั้น เป็นเรื่องที่ ศธ. จะต้องไปดูว่าผู้บังคับบัญชาเลินเล่อหรือไม่ หรือรู้เห็น ตรงนี้คงต้องเข้าไปตรวจสอบด้วย
นายการุณ กล่าวว่า ปปง. ให้คำแนะนำในการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างดี และ ศธ.ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว อย่างไรก็ดี ในอนาคต ศธ. และ ปปง. จะ เอ็มโอยู ร่วมกันเพื่อร่วมกันตรวจสอบเรื่องอื่นๆ ด้วย เนื่องจาก ศธ. มีคนเยอะ มีงบประมาณจำนวนมาก ต้องมีมาตรการป้องปรามการทุจริต นอกจากนี้ มีผู้เสนอให้นำระบบไอซีทีมาใช้ในการตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินนั้น เป็นเรื่องที่ดี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ก็เห็นด้วยและได้มอบให้ สป.ศธ. ไปศึกษาเรื่องนี้
