บอร์ด สปสช. เห็นชอบ “รพ.ราชวิถี” ตัวแทน รพ. ทั่วประเทศจัดซื้อยากลุ่มพิเศษปี 2561 แทน สปสช. หลัง สตง. ท้วงผิดกฎหมาย ไม่สามารถซื้อได้ พร้อมเห็นชอบตั้งอนุกรรมการวางแผนจัดซื้อยา ดึงทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
วันนี้ (18 ส.ค.) ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) วาระพิเศษ มีการพิจารณาวาระการจัดหายา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ตามโครงการพิเศษ ปีงบประมาณ 2561 ซึ่งมี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และประธานบอร์ด สปสช. โดยที่ประชุมเสียงข้างมาก คือ เห็นชอบ 12 เสียง ไม่เห็นด้วย 4 เสียง และงดออกเสียง 1 เสียง คือเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษ ปี 2561 และให้ รพ.ราชวิถี เป็นตัวแทนหน่วยบริการในการสั่งซื้อยากลุ่มพิเศษ เช่น ยาบัญชี จ.2 ยาต้านพิเศษ ฯลฯ จากองค์การเภสัชกรรม (อภ.) แทน สปสช. หลังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทักท้วงว่า สปสช.ไม่สามารถจัดซื้อได้ตามกฎหมาย
นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า สตง. ทักท้วงว่า สปสช. ไม่มีอำนาจในการสั่งซื้อยา เพราะขัดต่อข้อกฎหมาย แต่การปรับเปลี่ยนทันทีเลยอาจเกิดผลกระทบ ซึ่งบอร์ด สปสช. ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2560 จึงให้ สปสช. ทำไปเช่นเดิม แต่ในปีงบประมาณ 2561 ต้องทำให้ทุกอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ หากคณะกรรมการไม่เห็นด้วยและยืนยันจะให้ทำแบบเดิมก็สามารถลงมติได้ทุกคนมีสิทธิ์ แต่ตนมีทางออกที่ถูกต้องให้ ซึ่งการที่จะมอบให้ รพ.ราชวิถี จัดซื้อยาแทน สปสช. ก่อนส่งเรื่องให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) นั้น ระบบเหมือนเดิมเกือบทั้งหมด เพียงแต่แก้ไขทุกอย่างให้ถูกต้อง ซึ่งระบบที่จะเกิดขึ้นนี้จะเป็นความร่วมมือที่ชัดเจนของ สธ. สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการหารือทุกส่วนเห็นพ้องกันว่า วิธีนี้เป็นแนวทางที่ถูกต้อง ขอยืนยันว่าจะไม่มีการออก ม.44 ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้อีกแน่นอน
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน ปลัด สธ. กล่าวว่า กระบวนการจัดซื้อเหมือนเดิมเกือบทั้งหมด โดยบอร์ด สปสช. เห็นชอบแต่งตั้งคณะคณะอนุกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยาฯ ซึ่งมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ ทั้ง สธ. สปสช. อภ. รวมถึงภาคเอ็นจีโอ ในการดูรายการยา การต่อรอง หรือการกำหนดราคากลาง เพียงแต่เปลี่ยนจากการสั่งซื้อเดิมที่เป็น สปสช. มาเป็นหน่วยบริการ ซึ่งบอร์ด สปสช. เห็นชอบให้ รพ.ราชวิถี สังกัดกรมการแพทย์ ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากในการเป็นตัวแทนหน่วยบริการทั้งหมดในการจัดซื้อยา โดยให้ สปสช. โอนเงินมายัง รพ.ราชวิถี ในการจัดซื้อยากับ อภ. แทน ซึ่งตรงนี้ก็เป็นไปตาม พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 23 ส.ค. นี้ ให้หน่วยงานหนึ่งจัดซื้อแทนหน่วยงานอื่นๆ ได้ เรียกว่า รพ.ราชวิถี ก็จะเป็นตัวแทนในการจัดซื้อยาแทน รพ. ทั่วประเทศ โดยกระบวนการทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างสรุปเรื่องเพื่อเสนอเข้า ครม. สำหรับการจัดซื้อยาในปี 2562 ก็น่าจะเป็นไปตาม พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ฉบับใหม่
เมื่อถามถึงภาคประชาชนมองว่า รพ.ราชวิถี ไม่มีความพร้อม และปัจจุบันมีการขาดยาต้านไวรัสเอชไอวี นพ.โสภณ กล่าวว่า ต้องถามว่าปัญหาการขาดยาปัจจุบันใครรับผิดชอบ จะมาโยงว่าให้ รพ.ราชวิถี จัดซื้อแทนแล้วทำให้ขาดยาคงไม่ใช่ มองว่าควรมาหาทางออกและแก้ปัญหาร่วมจะดีกว่าหรือไม่ ทำอย่างไรให้ถูกกฎหมาย และสุดท้ายก็เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สธ. สปสช. และ อภ. อยู่ดี ส่วนเรื่องการขาดยาต้านไวรัสเอชไอวีเท่าที่ทราบก็ไม่ใช่ว่ามีใครที่ไม่ได้รับยาเลย เพียงแต่จากเดิมรับยาทุก 3 เดือน เหลือมารับยาทุกๆ เดือน ตรงนี้ก็ต้องไปตรวจสอบว่าเกิดจากอะไร
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง กรรมการ สปสช. สัดส่วนภาคประชาชน กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับหลักการครั้งนี้ เพราะ สธ. ยังไม่สามารถวางระบบที่จะจัดซื้อยาในอนาคตได้ และบางหลักการก็ยังไม่มีกฎหมายรองรับ หากดำเนินการไปแล้วอาจขัดต่อข้อกฎหมายได้ และตั้งข้อสังเกตว่ากรณีที่มอบหมายให้ รพ.ราชวิถี เป็นคนกลางในการจัดซื้อยาในปีงบประมาณ 2561 นั้น ขณะนี้ ผอ.รพ ราชวิถี ก็ยังไม่มีการออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ ทำให้ไม่เชื่อมั่นว่าการจัดซื้อครั้งนี้จะทำได้จริงหรือไม่