ตั้งแต่เล็กประมาณพอจำความได้ ภาพที่เห็นเป็นประจำเมื่อดูข่าวพระราชสำนัก คือ ภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ปรมินทรมหาราชา ทรงประคองสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จแม่ของพระองค์ หรือสมเด็จย่าของปวงชนชาวไทย ยังจำได้ว่าตอนนั้นเห็นภาพแล้วก็ยังสงสัยและถามพ่อว่าคือใคร
ตอนนั้นก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวนัก รู้แต่ว่าเป็นภาพคุ้นชินที่เห็นบ่อย ๆ และรู้สึกชอบทุกครั้งที่เห็น
จนกระทั่งโตขึ้น ความรับรู้และเข้าใจมากขึ้น จากความชอบก็เปลี่ยนเป็นความประทับใจ ยังแอบคิดในใจเลยว่า ถ้าแม่เราอายุมากขนาดพระองค์ท่าน เราจะคอยประคองแม่แบบนี้
ยิ่งมารับรู้เรื่องราวในภายหลังจากเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมา ว่า ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสกับราชองครักษ์ที่ควรจะต้องเป็นคนทำหน้าที่นี้ว่า “คนนี้เป็นแม่เรา เราประคองเอง ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน เพราะฉะนั้นตอนนี้แม่แก่แล้ว เราต้องประคองแม่เดิน เพื่อเทิดพระคุณท่าน” ก็ยิ่งประทับใจและภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เกิดมาเป็นพสกนิกรของพระองค์
ไม่เพียงแต่ภาพประคองสมเด็จย่าเท่านั้น ภาพการโอบกอด การหอมแก้มกันระหว่างแม่ลูก เป็นภาพที่เห็นบ่อย ซึ่งเป็นภาพที่ประทับใจมากทุกครั้งที่นึกถึง
ยามสมเด็จย่าทรงพระประชวร ก็ทราบข่าวและเห็นในหลวงเสด็จฯเฝ้าไข้ และดูแลพระราชมารดาของพระองค์อย่างสม่ำเสมอ แม้จะทรงงานหนักเพียงใด แต่ก็จะไปเยี่ยมทุกวัน พสกนิกรชาวไทยก็ได้รับรู้และซาบซึ้งยิ่งนัก
ภาพเหล่านี้เป็นภาพที่ประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อยซึมซับประทับอยู่ในดวงจิต และรู้ซึ้งถึงความกตัญญูขององค์พระประมุข เป็นแบบอย่างของ “ลูกที่ดี” แก่ปวงชนชาวไทย และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เพราะเป็นพระราชจริยวัตรที่งดงามจากพ่อของแผ่นดิน
เพราะการบรรยายความรักระหว่างแม่ลูกเป็นหมื่นคำ ไม่เท่ากับการกระทำที่ประจักษ์ชัด
พอตัวเองเติบโตขึ้น ได้สนใจอ่านพระประวัติของสมเด็จย่า ยิ่งทำให้เห็นและเข้าใจถึงวิถีปฏิบัติของพระองค์ผู้เป็นแม่ของยุวกษัตริย์ถึง 2 พระองค์ ทรงเป็นพระมารดาที่สมบูรณ์แบบเหลือเกิน
มีเรื่องเล่าถึงวิธีการสอนของสมเด็จย่าว่าตอนในหลวงเรียนหนังสือที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในขณะทรงพระเยาว์ ได้เข้ามาตรัสกับพระองค์ว่าอยากได้รถจักรยาน เพื่อน ๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าตรัสตอบว่า ถ้าลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็เก็บสตางค์ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้ซิ เก็บมาหยอดกระปุก วันละเหรียญสองเหรียญ พอได้มากพอก็เอาไปซื้อจักรยาน
การสอนพระราชโอรสของสมเด็จย่า เป็นการปลูกฝังเรื่องคุณธรรมให้แก่ลูกด้วย ทั้งเรื่องประหยัด ให้ช่วยเหลือตัวเองก่อน และให้เห็นคุณค่าสิ่งของที่อยากได้ด้วย
จนเมื่อถึงวันปีใหม่ สมเด็จย่าก็ทรงพาในหลวงไปซื้อจักรยาน โดยใช้เงินที่พระราชโอรสออม โดยพระองค์ทรงพระราชทานเงินแถมให้ ซึ่งมากกว่าเงินที่มีในกระปุกของพระราชโอรสเสียอีก เรียกว่ามิได้ให้เปล่า แต่สอนลูกด้วย สอนให้ประหยัด สอนว่าอยากได้อะไรต้องเริ่มจากตัวเรา
จึงมิแปลกใจเลยว่าในหลวงของเราได้แบบอย่างมาจากใคร
จำได้ว่าเคยมีงานเสวนาวิชาการ “เชิดชูสมเด็จย่า แบบอย่างในการเลี้ยงลูก” นานหลายปีแล้ว แต่เนื้อหาสะท้อนความเป็นจริงยิ่งกว่าจริง
ขณะนั้น รศ.เยาวพา เดชะคุปต์ อาจารย์จากภาควิชาการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว) ท่านได้กล่าวตอนหนึ่งในงานเสวนาทางวิชาการ เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการศึกษาไทย ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยเฉพาะในวัยที่ทรงพระเยาว์ ได้รับการปลูกฝังในเรื่องการเล่น เรียนอย่างมีความสุข จะเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล่นดิน เล่นทราย ได้สัมผัสของจริง ส่งผลให้พระองค์ท่านเป็นคนที่เรียนรู้จากประสบการณ์จริง รู้จักสังเกต อยากให้พ่อแม่ที่มีลูกในช่วงปฐมวัย ดำเนินรอยตามสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อย่าลืมว่าวัยเด็กเป็นวัยที่สำคัญมาก เด็กต้องได้เล่นอย่างสนุกสนาน พ่อแม่จึงต้องเป็นหลักในการส่งเสริมลูก เด็กจะเติบโตอย่างมีคุณภาพได้นั้นขึ้นอยู่กับพ่อแม่
“สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเลี้ยงดูพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้รู้จักเป็นนักปฏิบัติ ลงมือทำจริง เป็นนักค้นคว้าวิจัย สอนในเรื่องความอดทน อดออม และเห็นประโยชน์ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นตัวอย่างของแม่ที่ดี พ่อแม่มีส่วนสำคัญในการปลูกฝังให้ลูกมีลักษณะอย่างไรก็ได้ พื้นฐานการเลี้ยงดูจากทางบ้านจึงเป็นเบ้าหลอมให้กับเด็กและเยาวชน อยากให้สังคมไทยดูพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านถูกเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่ อย่างมีเหตุผล จึงทำให้พระองค์ท่านมีพระอัจฉริยภาพในหลาย ๆ ด้าน พระองค์ท่านเป็นลูกที่ประเสริฐ เป็นพ่อที่แสนดีควรเอาเป็นแบบอย่าง และยังเป็นครูของแผ่นดินไทยอีกด้วย มีวิสัยทัศน์ด้านการศึกษาเพื่อปวงชน ให้โอกาสกับกลุ่มคนที่ไม่มีใครสนใจ หยิบยื่นความช่วยเหลือด้านการศึกษาให้คนกลุ่มน้อยในถิ่นทุรกันดาร ทรงช่วยเหลือด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยทอดทิ้งและมีเป้าหมายในการทรงงานทุกงาน มีหลักคิดในการบูรณาการความรู้และปัญหาต่าง ๆ และทรงย้ำเสมอในเรื่องการลงมือทำอะไรให้สำเร็จได้นั้น ต้องมีความเพียร มีปัญญา และต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์ด้วย”
แม้ในขณะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชปรมินทรมหาราชาเสด็จสวรรคตแล้ว แต่ด้วยพระราชจริยวัตรที่งดงามของพระองค์ และพระอัจฉริยภาพในทุกด้านที่ปรากฏต่อปวงชนชาวไทยมาตลอด 70 ปี พระองค์จะยังคงประทับอยู่ในหัวใจของปวงชนชาวไทยตลอดกาลนาน
และที่สำคัญที่สุด ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ แบบอย่างของพระมหากษัตริย์ยอดกตัญญูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน