xs
xsm
sm
md
lg

โรคผมบางจากพันธุกรรม (ศีรษะล้าน)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


โดย...พญ.ชินมนัส ตั้งจาตุรนต์รัศมี ประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย 

หลายคนมักจะวิตกกังวล เมื่อเวลาที่เราสระผมแล้วมีผมร่วงหล่นลงมาหลายเส้น หรือเป็นกระจุก หรือเวลาตื่นนอนตอนเช้า ที่หมอนของเราพบว่ามีเส้นผมร่วงติดกับปลอกหมอน หรือแม้กระทั่งเวลาหวี ผมของเรากลับหลุดร่วงออกมาเป็นกระจุกหลุดร่วงตามแปรงหวี เหล่านี้เป็นอาการผมร่วง หรือผมบาง ซึ่งมีหลายสาเหตุด้วยกัน

สำหรับภาวะผมบางจากพันธุกรรมนั้น เรียกว่า โรคผมบางจากพันธุกรรม (Androgenetic alopecia) หรือที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า โรคศีรษะล้าน เป็นภาวะที่เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม ร่วมกับภาวะฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) ที่มากกว่าปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ชัดเจนมากกว่าในผู้หญิง ส่วนในผู้หญิงนั้นสาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด คาดว่า อาจจะมาจากหลายปัจจัยนอกเหนือจากสาเหตุทางพันธุกรรม

ดังนั้น ปัจจุบันนี้ในทางสากลจึงนิยมเรียกโรคผมบางจากพันธุกรรมในชื่อใหม่ ว่า โรคผมบางที่มีรูปแบบเฉพาะ (Male and Female Pattern Hair Loss) มากกว่าจะใช้ชื่อเดิม คือ โรคผมบางจากพันธุกรรม

โรคผมบางจากพันธุกรรม หรือโรคผมบางที่มีรูปแบบเฉพาะ เกิดในผู้ป่วยวัยกลางคน มักเริ่มมีอาการตั้งแต่หลังวัยรุ่น โดยเพศชายมีโอกาสเกิดภาวะนี้ในอายุน้อยมากกว่าเพศหญิงที่พบภาวะนี้ในคนสูงวัยกว่า และในชายผิวขาว พบว่า อัตราการเกิดผมบาง 50% อยู่ที่อายุ 50 ปี ส่วนในหญิงผิวขาวพบมีผมบาง 40% ที่อายุ 70 ปี  สำหรับคนเอเชียจะพบน้อยกว่าในคนผิวขาว หรือคนผิวดำ ส่วนชายไทยที่มีการศึกษาพบอัตราการเกิดผมบางประมาณ 38.52%

สำหรับการรักษาโรคผมบางจากพันธุกรรม หรือโรคผมบางที่มีรูปแบบเฉพาะ ในผู้ชายสามารถรักษาได้ด้วยยาทา และยารับประทาน ในคนที่เป็นยังไม่มากควรเริ่มรักษาด้วยยาทา คือ 2 - 5% Minoxidil lotion เพียงอย่างเดียวก่อน ส่วนในคนที่เป็นมาก เช่น คนที่มีผมบางมากจนเห็นหนังศีรษะเป็นบริเวณกว้าง อาจให้การรักษาด้วยยาทา 2 - 5% Minoxidil lotion ร่วมกับยารับประทาน Finasteride 1 มิลลิกรัมต่อวัน

ส่วนในผู้หญิง ควรรักษาด้วยยาทา 2 - 5% Minoxidil lotion เพียงอย่างเดียวโดยการรักษาด้วยยารับประทาน สำหรับผู้หญิงนั้นยังไม่อยู่ในแนวทางการรักษาที่เป็นมาตรฐาน (Clinical practice guidelines) เนื่องจากยา Finasteride 1mg/day พบว่า ใช้ไม่ได้ผลในผู้หญิง ซึ่งจำเป็นจะต้องรอผลการศึกษาให้มากขึ้นทางด้านประสิทธิผลและความปลอดภัย นอกจากนี้ ผู้ป่วยหญิงที่ต้องการรับประทานยาจำเป็นต้องป้องกันการตั้งครรภ์ เนื่องจากยาก่อให้เกิดความผิดปกติกับทารกในครรภ์ได้ และผู้ป่วยควรอยู่ในความดูแลของแพทย์เพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงทางร่างกายด้านอื่น ๆ ด้วย

ส่วนการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การรักษาทางศัลยกรรมด้วยการย้ายปลูกถ่ายรากผม (Hair transplantation) เหมาะสมกับผู้ป่วยที่มีผมบางมาก และอาจทำได้ในผู้ป่วยบางราย, การใช้เลเซอร์ หรือหมวกเลเซอร์ เพื่อกระตุ้นให้มีผมมากขึ้น มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าใช้ได้ผล เหมาะกับผู้ป่วยที่ผมบางไม่มาก ในกรณีที่ผู้ป่วยยังมีผมร่วงมาก ควรจะใช้เสริมกับการรักษาแบบอื่น นอกจากนี้ ยังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับผลข้างเคียงในระยะยาว

ในส่วนของผลข้างเคียงของยาทา Minoxidil และ ยารับประทาน Finasteride ยาทา Minoxidil อาจทำให้มีอาการระคายเคืองหนังศีรษะ (7%), มีขนขึ้นที่ใบหน้า (5%) และปวดศีรษะ (3%) ยาสามารถก่ออันตรายให้กับทารกในครรภ์ได้ จึงไม่ควรใช้ยานี้ในหญิงมีครรภ์และให้นมบุตร ส่วนยารับประทาน Finasteride ในเพศชาย ยานี้อาจมีผลทำให้การแข็งตัวของอวัยวะเพศลดลง (1 - 2%) ส่วนในผู้หญิงนอกจากยาอาจใช้ไม่ได้ผลแล้ว ยานี้สามารถก่ออันตรายแก่ทารกในครรภ์ได้ จึงไม่ควรใช้ยานี้ในหญิงมีครรภ์และให้นมบุตร และต้องระมัดระวังในการลดขนาดการใช้ยาลงกับผู้ป่วยโรคตับ

การรักษาโรคผมบางที่มีรูปแบบเฉพาะนี้ มีความจำเป็นต้องทำไปตลอด เนื่องจากหากหยุดยา ผมอาจกลับไปบางเท่าเดิม และการที่ต้องรักษาเป็นเวลานาน ทำให้ผู้ป่วยหลายรายมีความท้อใจในการรักษา อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยไม่รักษา ผู้ป่วยอาจมีผมที่บางมากขึ้น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า มีโอกาสมากถึง 93% ที่ผู้ป่วยจะมีผมบางเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลา 5 ปี และพบว่า ผมบางมากขึ้นโดยเฉลี่ย 26%  ดังนั้น โรคผมบางชนิดนี้จึงควรมีการรักษาอย่างต่อเนื่อง และควรประเมินผลการรักษาที่ระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาออกฤทธิ์มากที่สุด โรคผมบางจากพันธุกรรม หรือผมบางที่มีรูปแบบเฉพาะนี้มีลักษณะอาการแตกต่างจากโรคอื่น ดังนั้น การรักษาควรถูกต้องตามมาตรฐาน เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดและมีความปลอดภัยต่อผู้ป่วยมากที่สุด



ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่


กำลังโหลดความคิดเห็น