“ดร.เซปิง” เตรียมเข้าให้ข้อมูล สคบ. กรณีโฆษณา “เฟซออฟ” 4 มี.ค. นี้ ด้าน สคบ. สธ. แพทยสภา เตรียมตั้งอนุกรรมการคุมการโฆษณาเกินจริงด้านสุขภาพ - ความงามแบบเกาหลีใต้ เอาผิดเอเยนซีแบบ กม. อุ้มบุญ ด้าน รมว.สธ. ชี้ ถกเถียงความหมาย “เฟซออฟ” ไร้ประโยชน์ ย้ำทำผิด กม. ต้องลงโทษเลย แพทยสภาแจงอาชีพ “ที่ปรึกษาศัลยกรรมความงาม” ทำได้ ในแง่ให้ข้อมูลที่เป็นจริง ไม่ใช่เทคนิคการทำศัลยกรรม
วันนี้ (25 ก.พ.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณี ดร.เซปิง ไชยศาส์น ยืนยันเดินหน้าโครงการเฟซออฟ (Face Off) ซึ่งยังมีปัญหาเรื่องของการโฆษณา ว่า ไม่อยากให้สังคมพุ่งเป้า หรือถกเถียงความหมายเกี่ยวกับคำว่า face off เพราะไม่เกิดประโยชน์ ที่ผ่านมาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและแพทยสภาชี้แจงชัดเจนแล้วว่าไม่มีชื่อเรียก หรือเทคนิควิธีนี้ สิ่งที่ทำก็ไม่ใช่การเปลี่ยนหน้า ซึ่งกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นสถานพยาบาล สถานประกอบการ หรือเอเยนซี หากทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการ ดีกว่าการมาเล่นคำกัน และอยากให้ประชาชนสนใจเรื่องของความปลอดภัยจากการทำศัลยกรรมเป็นหลัก ส่วนเรื่องของการควบคุมโฆษณาการเสริมความงาม กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กำลังตรวจสอบดูแลอยู่
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี ดร.เซปิง อ้างว่า เป็นที่ปรึกษาด้านการศัลยกรรมความงาม ทั้งที่ไม่ใช่แพทย์ทำศัลยกรรมความงาม ซึ่งขณะนี้ไม่มีสมาคมวิชาชีพดูแลเรื่องมาตรฐาน นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า เรื่องนี้ผู้ถือกฎหมายอย่างแพทยสภา สบส. และ สคบ. ต้องเข้าไปดูว่าเป็นช่องโหว่หรือไม่ และต้องเข้ามาควบคุมดูแลตรงนี้
ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงอาชีพที่ปรึกษาด้านศัลยกรรมความงาม ว่า ตนมองว่าคนทั่วไปก็สามารถทำได้ แต่คงเป็นแง่ของลักษณะการตลาด หากเปรียบก็เหมือนกับบริษัทรับจ้างโฆษณาว่า ถ้าอยากจะทำส่วนนั้นส่วนนี้สามารถไปทำที่ไหนได้บ้าง แต่คงไม่สามารถแนะนำได้ถึงเทคนิคการทำศัลยกรรมว่าจะต้องผ่าลักษณะแบบไหนอย่างไร เพราะเรื่องนี้เป็นส่วนของแพทย์ที่จะแนะนำแก่คนไข้ได้ ซึ่งการแนะนำหากเป็นแค่การประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลที่เป็นจริงก็สามารถทำได้ แต่ประชาชนก็ต้องระมัดระวังและดูด้วยว่าเป็นการโฆษณาเกินจริงหรือไม่ ซึ่งหากเป็นการโฆษณาเกินจริงก็ถือว่ามีความผิด ซึ่ง สคบ. และ สบส. ต้องเข้าไปดูแล แต่หากมีการกล่าวอ้างถึงแพทย์ ตรงนี้แพทยสภาก็จะเข้ามาดูแลด้วย
“การเป็นที่ปรึกษาด้านศัลยกรรมความงามนั้น หากแนะนำอย่างเช่น ไปทำตาสองชั้นจะดูดีขึ้น จมูกไม่สวยถ้าไปเสริมก็จะดูดีขึ้น สามารถไปทำที่ไหนได้บ้าง เป็นต้น ก็สามารถทำได้ ไม่มีสิทธิที่จะไปห้ามไม่ให้เขาทำ เพราะไม่ใช่สิ่งที่ผิด ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ต่างกับการแนะนำกันเองของคนทั่วไปที่มีการแนะนำบอกต่อกันอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องให้ข้อมูลที่เป็นจริง ไม่ใช่โฆษณาเกินจริง เช่น ไปทำกับหมอคนนี้ดีที่สุด เก่งที่สุด อันนี้คือการโฆษณาเกินจริง ซึ่งการไปรับคำแนะนำประชาชนก็ต้องพิจารณาให้ดีด้วยเช่นกัน” นายกแพทยสภา กล่าวและว่า ส่วนการหารือร่วมกับ สคบ. และ สบส. ในการควบคุมการโฆษณาด้านศัลยกรรมความงามนั้น ก็จะมีการคุยกันว่าการโฆษณานั้นจะทำได้ในระดับไหน การห้ามโฆษณาไปเลยนั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องอยู่ในระเบียบ ซึ่งแนวทางที่วางไว้คือ ต้องเป็นการให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์ที่เป็นจริง เช่น สถานพยาบาลสามารถทำอะไรได้บ้าง ราคาเป็นอย่างไร แต่ไม่ใช่บอกว่าที่นี่ดีที่สุด หมอเก่งที่สุด แบบนี้ไม่ได้ อย่างในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ก็ยอมรับในเรื่องของการให้ข้อมูลได้ แต่ต้องห้ามพูดเกินจริง
นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า ดร.เซปิง จะเข้าให้ข้อมูลกับ สคบ. ในวันที่ 4 มี.ค. นี้ ซึ่งจะมาด้วยตัวเองหรือส่งผู้แทนก็ได้ หลังจากที่ไม่ได้เข้าให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา ส่วน นพ.กมล พันธ์ศรีทุม แพทย์ที่ถูกกล่าวอ้างถึงนั้น ก่อนหน้านี้ได้เชิญมาให้ข้อมูลแล้ว แต่ได้ส่งตัวแทนมา ทำให้ได้ข้อมูลแล้วบางส่วน จากนั้นจะนำมารวบรวมกับที่ ดร.เซปิง จะเข้าให้ข้อมูลต่อไป ซึ่งเป็นการสืบสวนสอบสวนจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ เพื่อเอาผิดกับผู้ที่โฆษณาเกินจริง
“สคบ. อยู่ระหว่างศึกษาร่วมกับ สธ. และแพทยสภา โดยอาจจะมีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาใหม่ 1 ชุด เพื่อทำหน้าที่ในการร่างระเบียบในการควบคุมเอเยนซี หรือนายหน้าที่ทำการโฆษณาเกินจริงเรื่องสุขภาพและความงามเหมือนประเทศเกาหลีใต้ เพราะปัจจุบันคลินิกเสริมความงามมีการใช้เอเยนซีมาก อาจมีโทษทั้งจำและปรับเหมือน พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ที่มีการเอาผิดกับเอเยนซีด้วย โดยจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมบอร์ด สคบ. วันที่ 11 มี.ค. 2559” นายอำพล กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่