xs
xsm
sm
md
lg

สปสช.ปัดผูกขาดซื้อยา แจงจัดซื้อแค่ 4% เน้นยาราคาแพง ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยา ลดภาระ รพ.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สปสช. ปัดผูกขาดจัดซื้อยาของประเทศ แจงจัดซื้อยาแค่ 4% ของทั้งระบบ เน้นยาราคาแพง มีผู้ป่วยน้อย ยาขาดแคลน เหตุให้ รพ. จัดซื้อเองเป็นภาระงบประมาณ เผยร่วมมือประกันสังคม จัดซื้อยาจำเป็นราคาแพง ช่วยประหยัดค่ายาได้ 1 พันล้านบาท ผู้ป่วยเข้าถึงยามากขึ้น

ภก.คณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนระบบบริการยาและเวชภัณฑ์ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีผู้ให้ข้อมูลว่า สปสช. ผูกขาดการจัดซื้อยาของประเทศ ว่า สปสช. จัดซื้อยาเพียงแค่ 4% ของทั้งระบบ ที่เหลืออีก 96% รพ. เป็นผู้จัดซื้อจัดหาเอง สปสช. ไม่ได้ซื้อยาทุกตัวที่ใช้ใน รพ. แต่เน้นให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาจำเป็นใน 3 กลุ่มหลัก คือ 1. ยาราคาแพงและมีผู้ป่วยจำนวนน้อย ได้แก่ ยาบัญชี จ (2) 2. ยาขาดแคลนไม่มีจำหน่ายในระบบปกติ ได้แก่ ยากำพร้ายาต้านพิษ และวัคซีน และ 3. ยาที่มีผู้ป่วยจำนวนมากต้องใช้ยาต่อเนื่อง และเป็นภาระงบประมาณต่อทั้งผู้ป่วยและ รพ.ได้แก่ ยาต้านไวรัสเอดส์ และน้ำยาล้างไต ความสำคัญอันดับแรก คือ ทำอย่างไรให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้รับยา ในขณะที่งบประมาณมีจำกัด ดังนั้น จึงต้องหาวิธีการจัดการเพื่อให้ได้ยาในราคาที่ถูกลง เช่น ยารักษามะเร็งซึ่งเป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ จ (2) บางรายการที่ สปสช. จัดซื้ออยู่ในขณะนี้ เป็นยาต้นแบบของบริษัทต่างประเทศ (Original) สปสช. สามารถจัดซื้อได้ต่ำกว่าราคาตลาดที่จำหน่ายทั่วไปถึงร้อยละ 80 การให้แต่ละ รพ. ไปจัดซื้อเองหรือจัดซื้อร่วมระดับเขต อำนาจการต่อรองราคาจะลดลง ซึ่งสร้างภาระให้แต่ละ รพ. ต้องซื้อยาราคาแพงขึ้น ในปีที่ผ่านมา สปสช. ได้ร่วมมือกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) จัดหายาบัญชี จ (2) สามารถประหยัดงบประมาณภาพรวมของประเทศได้อีกกว่า 1,000 ล้านบาท และทำให้ประชาชนทุกสิทธิเข้าถึงยากลุ่มนี้

ภก.คณิตศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนของยากำพร้าและยาต้านพิษ ซึ่งเป็นยาที่มีปัญหาการเข้าถึง ไม่มีผู้ผลิตหรือจำหน่ายในประเทศ ถึงแม้ยาราคาไม่แพง แต่ใช้น้อย ไม่สามารถคาดการณ์ใช้ยาต่อปีได้ แต่เป็นยาจำเป็นสำหรับช่วยชีวิตผู้ป่วย ทำให้ที่ผ่านมาเมื่อมีผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยา ถึงแม้ รพ. จะมีเงินจำนวนมากก็ไม่สามารถจัดหายาได้ จึงจำเป็นต้องมีการจัดหาในระดับประเทศ เนื่องจากต้องการันตีการจัดซื้อในปริมาณขั้นต่ำจึงจะมีผู้ผลิตยานี้ โดยอาศัยความร่วมมือทั้ง กระทรวงสาธารณสุข สมาคมพิษวิทยา องค์การเภสัชกรรม และสถานเสาวภา สภากาชาดไทย เป็นต้น ซึ่งระบบดังกล่าวทำให้เกิดการสำรองยาในประเทศ นอกจากนี้ต้องมีระบบการให้คำปรึกษา โดยสมาคมพิษวิทยาคลินิกเพื่อช่วยให้การใช้ยาเป็นไปอย่างถูกต้องทันเวลา ซึ่งสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้แล้วกว่า 13,000 รายนับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 จนถึงปัจจุบัน และผู้ป่วยกว่า 95% ของผู้ป่วยที่รอดชีวิตสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ภก.คณิตศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับการจัดหาวัคซีนซึ่ง สปสช. ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบการจัดหาและกระจายวัคซีนตามแผนสร้างเสริมการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข ในกระบวนการจัดหาต้องแจ้งปริมาณความต้องการล่วงหน้าอย่างน้อย 6 - 8 เดือน จึงจะสามารถจัดหาวัคซีนได้เพียงพอแก่ความต้องการทั้งประเทศ ทำให้ได้วัคซีนชนิดเดียวกันทั้งระบบ มีระบบควบคุมอุณหภูมิระหว่างการจัดเก็บและขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันอาการไม่พึงประสงค์และทำให้เด็กได้รับประโยชน์สูงสุดจากการรับวัคซีนอีกด้วย หากให้ รพ. ดำเนินการเองอาจไม่สามารถกำหนดแผนความต้องการล่วงหน้าได้ และสายพันธุ์ที่ได้อาจไม่ตรงตามที่ WHO กำหนด หรือแตกต่างกันในแต่ละ รพ.ส่งผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกันของเด็ก และภูมิคุ้มกันในภาพรวมของประเทศ และราคาที่จัดซื้อได้อาจสูงกว่าราคาที่ซื้อได้ในปัจจุบัน ทั้งนี้การจัดซื้อรวมระดับประเทศ สปสช. สามารถประหยัดงบประมาณได้กว่า 400 ล้านบาทซึ่งสามารถนำเงินดังกล่าวมาขยายชุดสิทธิประโยชน์ครอบคลุมวัคซีนรายการใหม่ๆ เช่น วัคซีนโปลิโอชนิดฉีด (IPV) และวัคซีนไข้สมองอักเสบชนิดเชื้อเป็น (JE live attenuated) เป็นต้น ทั้งนี้ ในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์นั้น สปสช. ดำเนินการตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างกระทรวงการคลังและจัดซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรมซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ

ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่


กำลังโหลดความคิดเห็น