นายกแพทยสภาหนุนหลัก “ประชารัฐ” หาความยั่งยืนระบบหลักประกันสุขภาพฯ ชี้ ค่ารักษาสูงกว่างบรายหัวบัตรทอง ทำ รพ. ขาดสภาพคล่อง ย้ำ มีส่วนร่วมจ่ายช่วยลดปัญหา แต่ต้องไม่ทำให้ยากจนลง หวั่นกำหนดเพดานค่าใช้จ่ายทำกังวลเรื่องเงิน ส่งผลคุณภาพการรักษา ด้านข้าราชการพ้ออย่าเทียบสิทธิรักษากับบัตรทอง ควรเพิ่มคุณภาพให้เท่ากัน แนะรัฐบาลมีงบกลางให้ผู้ยากไร้
ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีแนวคิด “ประชารัฐ” ในการระดมหาแนวทางความยั่งยืนและมั่นคงของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ว่า ตนเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว เพราะถือเป็นแนวคิดที่มีประโยชน์กับประชาชน และเป็นการเดินหน้าระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทองอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ผู้สูงอายุก็มากขึ้น ยาและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ราคาสูง ก็มีเข้ามาเยอะ ขณะที่ความคาดหวังของประชาชนในการรักษาก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อหัวประชากรในระบบบัตรทองมากกว่างบประมาณที่ได้รับ เพราะคนไข้บางส่วนก็ไม่ได้มาเบิกจ่ายใช้จริง ถ้าให้พูดจริง ๆ ตอนนี้ต้องเรียกว่าแบ่งกองทุนออกเป็น 4 กองทุน ไม่ใช่แค่ 3 กองทุน เพราะปัจจุบันคนหันมาใช้ประกันเอกชนกันเยอะ แต่ถึงขนาดนี้โรงพยาบาลรัฐก็ยังมีปัญหาขาดสภาพคล่อง เพราะได้รับงบประมาณน้อยกว่าต้นทุนการรักษา
“การให้ทุกคนมีส่วนร่วมในค่าใช้จ่าย จะช่วยลดปัญหาดังกล่าว และยังทำให้คนไข้ได้ตระหนักถึงการดูแลสุขภาพตนเอง เพราะทุกวันนี้ไม่ตระหนักเลย กินเหล้า เมายา ก็คิดว่าไม่เป็นไร เพราะรักษาฟรี การรักษาในต่างประเทศมีหลักการ คือ เข้าถึงการรักษา แต่ไม่ได้ฟรีทุกอย่าง อาจจะฟรีค่ารักษาบางอย่าง และมีการร่วมจ่ายค่ายาเอง ส่วนของไทย ถ้าคนไม่มีเงินเราก็ต้องช่วยเขา แล้วต้องไม่ให้คนใดคนหนึ่งยากจนเพราะความเจ็บป่วย การที่ให้คนที่สามารถจ่ายได้ ร่วมจ่ายจะช่วยให้ระบบของประเทศในระยะยาว มั่นคง การรักษามีคุณภาพซึ่งเป็นประโยชน์กับคนไข้อย่างแน่นอน” นายกแพทยสภา กล่าวและว่า ส่วนแนวคิดการกำหนดเพดานของงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพนั้นตนไม่เห็นด้วย เพราะการดูแลจะถูกเปลี่ยนแปลงไป ทำให้สนใจแต่งบประมาณ ไม่สนใจคุณภาพการรักษา หรือไม่โรงพยาบาลก็อยู่ไม่ได้ แต่ควรหาวิธีการให้ทุกคนมีส่วนร่วมและรับรู้ ปัญหาก็จะน้อยลง เพราะโรคบางอย่างไม่สามารถมากำหนดงบประมาณในการรักษาได้
ด้าน พล.ต.หญิง พูลศรี เปาวรัตน์ นายกสมาคมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ กล่าวว่า มีบางกลุ่มมองว่าสวัสดิการข้าราชการใช้งบประมาณมากกว่าบัตรทอง ตนมองว่า สิทธิของข้าราชการเป็นคนละส่วนกับเรื่องของการรักษาแบบบัตรทอง เพราะสวัสดิการของข้าราชการถือเป็นพันธสัญญาที่รัฐบาลได้ให้ไว้ตั้งเมื่อครั้งเข้ารับราชการอยู่แล้ว และโดยปกติผู้รับราชการมีรายได้น้อย เพื่อแลกกับเรื่องสวัสดิการด้านสุขภาพ ที่หวังว่าจะได้รับการดูแลในยามที่ตนเอง หรือครอบครัวเจ็บป่วย ซึ่งข้าราชการเองก็ยังมีผลกระทบทางด้านการรักษาอยู่ เพราะค่าบริการบางอย่างก็ต้องจ่ายเงินเอง ส่วนยารักษาโรค ก็ขึ้นกับแพทย์ที่จะให้การรักษาที่เหมาะสมเพื่อให้โรคหายเร็วขึ้น และถ้าได้ยาดี ก็ประหยัดค่าใช้จ่ายที่ต้องไปพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นการลดงบประมาณด้านอื่น ๆ
“ที่จริงแล้วไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน เพราะหากใครป่วยด้วยโรคเดียวกันก็คงใช้งบประมาณในการรักษาตัวเองเท่ากัน ตนมองว่าควรต้องเปลี่ยนระบบการบริหารใหม่ว่า ถ้าเขาจำเป็นต้องใช้ยา ก็ควรให้แพทย์มีสิทธิในการจ่ายยาเพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดี ไม่ใช่ไปลดคุณภาพของการรักษาของกลุ่มอื่นลง แต่ควรมีการใช้ด้วยความโปร่งใส ตรงไป ตรงมา ส่วนคนที่ไม่มีเงินจริง ๆ รัฐบาลควรมีงบกลาง เหมือนงบน้ำท่วม งบไฟไหม้ เพื่อให้ประชาชนผู้ยากไร้ได้มีโอกาสมาใช้เงินสำรองส่วนนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ตนอยากฝากวอนรัฐบาลในการให้สิทธิกับข้าราชการ ขอให้รัฐให้การดูแลอย่างเต็มที่ ตามที่ได้เคยให้พันธสัญญากันไว้ เพราะคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มนี้คือ ผู้ที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชน และทำงานเพื่อสังคมโดยรวมมาโดยตลอด” พล.ต.หญิง พูลศรี กล่าว
พล.ต.หญิง พูลศรี กล่าวว่า ส่วนแนวทางที่อาจจะมีการกำหนดงบประมาณเฉลี่ยในการรักษาพยาบาลของ 3 กองทุน โดยแต่ละกองทุนห้ามใช้งบมากกว่ากันเกิน 10% นั้น ตนไม่เห็นด้วย เพราะงบประมาณเฉลี่ยที่เอามาคิด ถ้าไม่ถูกตรรกะก็ทำให้เป็นการลดมาตรฐานและคุณภาพการรักษา งบประมาณการรักษาโรคต้องขึ้นกับภาวะการเกิดโรคและมาตรฐานการรักษาที่เหมาะสม หากมีความจำเป็นในการรักษาหรือเกิดโรคระบาด การกำหนดตัวเลขแบบนี้ ก็ไม่สามารถทำได้ หากเงินไม่พอ ก็ต้องหาวิธีที่เหมาะสมตามที่ รมว.สาธารณสุข กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีแนวคิด “ประชารัฐ” ในการระดมหาแนวทางความยั่งยืนและมั่นคงของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ว่า ตนเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว เพราะถือเป็นแนวคิดที่มีประโยชน์กับประชาชน และเป็นการเดินหน้าระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทองอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ผู้สูงอายุก็มากขึ้น ยาและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ราคาสูง ก็มีเข้ามาเยอะ ขณะที่ความคาดหวังของประชาชนในการรักษาก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อหัวประชากรในระบบบัตรทองมากกว่างบประมาณที่ได้รับ เพราะคนไข้บางส่วนก็ไม่ได้มาเบิกจ่ายใช้จริง ถ้าให้พูดจริง ๆ ตอนนี้ต้องเรียกว่าแบ่งกองทุนออกเป็น 4 กองทุน ไม่ใช่แค่ 3 กองทุน เพราะปัจจุบันคนหันมาใช้ประกันเอกชนกันเยอะ แต่ถึงขนาดนี้โรงพยาบาลรัฐก็ยังมีปัญหาขาดสภาพคล่อง เพราะได้รับงบประมาณน้อยกว่าต้นทุนการรักษา
“การให้ทุกคนมีส่วนร่วมในค่าใช้จ่าย จะช่วยลดปัญหาดังกล่าว และยังทำให้คนไข้ได้ตระหนักถึงการดูแลสุขภาพตนเอง เพราะทุกวันนี้ไม่ตระหนักเลย กินเหล้า เมายา ก็คิดว่าไม่เป็นไร เพราะรักษาฟรี การรักษาในต่างประเทศมีหลักการ คือ เข้าถึงการรักษา แต่ไม่ได้ฟรีทุกอย่าง อาจจะฟรีค่ารักษาบางอย่าง และมีการร่วมจ่ายค่ายาเอง ส่วนของไทย ถ้าคนไม่มีเงินเราก็ต้องช่วยเขา แล้วต้องไม่ให้คนใดคนหนึ่งยากจนเพราะความเจ็บป่วย การที่ให้คนที่สามารถจ่ายได้ ร่วมจ่ายจะช่วยให้ระบบของประเทศในระยะยาว มั่นคง การรักษามีคุณภาพซึ่งเป็นประโยชน์กับคนไข้อย่างแน่นอน” นายกแพทยสภา กล่าวและว่า ส่วนแนวคิดการกำหนดเพดานของงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพนั้นตนไม่เห็นด้วย เพราะการดูแลจะถูกเปลี่ยนแปลงไป ทำให้สนใจแต่งบประมาณ ไม่สนใจคุณภาพการรักษา หรือไม่โรงพยาบาลก็อยู่ไม่ได้ แต่ควรหาวิธีการให้ทุกคนมีส่วนร่วมและรับรู้ ปัญหาก็จะน้อยลง เพราะโรคบางอย่างไม่สามารถมากำหนดงบประมาณในการรักษาได้
ด้าน พล.ต.หญิง พูลศรี เปาวรัตน์ นายกสมาคมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ กล่าวว่า มีบางกลุ่มมองว่าสวัสดิการข้าราชการใช้งบประมาณมากกว่าบัตรทอง ตนมองว่า สิทธิของข้าราชการเป็นคนละส่วนกับเรื่องของการรักษาแบบบัตรทอง เพราะสวัสดิการของข้าราชการถือเป็นพันธสัญญาที่รัฐบาลได้ให้ไว้ตั้งเมื่อครั้งเข้ารับราชการอยู่แล้ว และโดยปกติผู้รับราชการมีรายได้น้อย เพื่อแลกกับเรื่องสวัสดิการด้านสุขภาพ ที่หวังว่าจะได้รับการดูแลในยามที่ตนเอง หรือครอบครัวเจ็บป่วย ซึ่งข้าราชการเองก็ยังมีผลกระทบทางด้านการรักษาอยู่ เพราะค่าบริการบางอย่างก็ต้องจ่ายเงินเอง ส่วนยารักษาโรค ก็ขึ้นกับแพทย์ที่จะให้การรักษาที่เหมาะสมเพื่อให้โรคหายเร็วขึ้น และถ้าได้ยาดี ก็ประหยัดค่าใช้จ่ายที่ต้องไปพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นการลดงบประมาณด้านอื่น ๆ
“ที่จริงแล้วไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน เพราะหากใครป่วยด้วยโรคเดียวกันก็คงใช้งบประมาณในการรักษาตัวเองเท่ากัน ตนมองว่าควรต้องเปลี่ยนระบบการบริหารใหม่ว่า ถ้าเขาจำเป็นต้องใช้ยา ก็ควรให้แพทย์มีสิทธิในการจ่ายยาเพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดี ไม่ใช่ไปลดคุณภาพของการรักษาของกลุ่มอื่นลง แต่ควรมีการใช้ด้วยความโปร่งใส ตรงไป ตรงมา ส่วนคนที่ไม่มีเงินจริง ๆ รัฐบาลควรมีงบกลาง เหมือนงบน้ำท่วม งบไฟไหม้ เพื่อให้ประชาชนผู้ยากไร้ได้มีโอกาสมาใช้เงินสำรองส่วนนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ตนอยากฝากวอนรัฐบาลในการให้สิทธิกับข้าราชการ ขอให้รัฐให้การดูแลอย่างเต็มที่ ตามที่ได้เคยให้พันธสัญญากันไว้ เพราะคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มนี้คือ ผู้ที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชน และทำงานเพื่อสังคมโดยรวมมาโดยตลอด” พล.ต.หญิง พูลศรี กล่าว
พล.ต.หญิง พูลศรี กล่าวว่า ส่วนแนวทางที่อาจจะมีการกำหนดงบประมาณเฉลี่ยในการรักษาพยาบาลของ 3 กองทุน โดยแต่ละกองทุนห้ามใช้งบมากกว่ากันเกิน 10% นั้น ตนไม่เห็นด้วย เพราะงบประมาณเฉลี่ยที่เอามาคิด ถ้าไม่ถูกตรรกะก็ทำให้เป็นการลดมาตรฐานและคุณภาพการรักษา งบประมาณการรักษาโรคต้องขึ้นกับภาวะการเกิดโรคและมาตรฐานการรักษาที่เหมาะสม หากมีความจำเป็นในการรักษาหรือเกิดโรคระบาด การกำหนดตัวเลขแบบนี้ ก็ไม่สามารถทำได้ หากเงินไม่พอ ก็ต้องหาวิธีที่เหมาะสมตามที่ รมว.สาธารณสุข กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่