“หมอประกิต” ร่อน จม. ถึง “อานนท์ - หมออภิวัฒน์” วอนศึกษาข้อมูลให้ถูกต้อง ขอความเป็นธรรมคนทำงานร่วม สสส. หวั่นกันคนตั้งใจจริงไม่กล้าทำงาน
วันนี้ (29 ต.ค.) ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้ทำจดหมายเปิดผนึกส่งถึง ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และ ศ.นพ.อภิวัฒน์ มุทิรางกูร คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรณีกล่าวหาผู้รับทุนโครงการ สสส. มีผลประโยชน์ทับซ้อน ว่า ตนได้อ่านคำให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการที่มีการพูดว่า สสส. ให้ทุนแต่คนหน้าเดิม กลุ่มเดิม ไม่รู้กรณีอื่น ๆ แต่ขอเล่าประสบการณ์ตรง กรณีการทำงานรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ที่ทำมา 30 ปี โดยช่วงปี 2529 - 2547 มีคนที่ทำงานรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ในประเทศไทยน้อยทั้งกระทรวงสาธารณสุข และภาคเอกชน ซึ่งมีไม่ถึง 10 คน พยายามเชิญชวนหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่มีใครมาร่วม จนปี 2548 สสส. เริ่มให้ทุนเครือข่ายต่าง ๆ เข้ามาร่วมทำโครงการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ แต่การเชิญชวนคนมาทำนั้นหายาก พยายามที่จะหาคนรับทุนเพื่อทำโครงการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ในระดับภูมิภาค โดยมูลนิธิจะเป็นพี่เลี้ยงด้านข้อมูลวิชาการ และ สสส. พร้อมที่จะให้ทุนถึงองค์กรในพื้นที่ที่จะรับทุนโดยตรง
เหตุผลสรุปในการที่มีคนหน้าใหม่มาทำงานเรื่องยาสูบน้อย เพราะ 1. เป็นงานลักษณะใหม่ที่คนจะทำต้องเรียนรู้ว่าจะทำอะไรและทำอย่างไร ไม่ใช่งานลักษณะสงเคราะห์ 2. เป็นงานโครงการ 1 ปี 2 ปี อย่างเก่ง 3 ปี แล้วไม่รู้ว่าจะยั่งยืนหรือไม่ 3. เป็นงานที่ต้องไปทำกับคนอื่น หลาย ๆ ครั้งต้องไปง้อคนอื่น หรือขัดแย้งกับคนอื่น 4. เป็นงานที่ต้องเขียนโครงการเสนอผ่านการกลั่นกรองหลายขั้นตอน 5. การติดตามตรวจสอบเอกสารหลักฐานการใช้เงินละเอียดยิบยุ่งยาก น่ารำคาญ 6. ค่าตอบแทนต่ำ ยากที่จะหาคนมาร่วมทีม ทำอย่างอื่นสบายกว่าได้ค่าตอบแทนมากกว่า
นพ.ประกิต กล่าวว่า นอกจากนี้ ขอให้ความเป็นธรรมกับ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ที่ถูกกล่าวหาว่าตั้งมูลนิธิฯ แล้วไปขอทุน สสส. ด้วย การตั้งมูลนิธิขึ้น เพื่อทำโครงการที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวม กรณีนี้ไม่ได้ประโยชน์ส่วนตัวในฐานะประธานมูลนิธิที่ตั้งขึ้น นอกเหนือจากเบี้ยประชุม
“เชื่อว่า อาจารย์ทั้งสองท่าน มีความหวังดีต่อส่วนรวม ต้องการติเพื่อก่อให้ สสส. ปรับปรุงระบบงานให้สังคมหายคลายแคลงใจ แต่อยากจะขอให้ศึกษาข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อที่จะได้ให้ข้อเสนอแนะที่ถูกต้องมีประโยชน์ และเพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่ทำงานกับ สสส.ด้วย แน่นอนใครที่ทำงานกับ สสส.หากมีการทำผิดก็ต้องได้รับโทษ ซึ่งอาจารย์อานนท์เองก็ย้ำเองถึงกฎแห่งกรรม จึงชี้แจงอาจารย์เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะไม่อยากให้คนที่มีความตั้งใจดี ไม่กล้าที่จะมาทำงานกับ สสส. เพราะกลัวเปลืองตัว และยินดีหากอาจารย์มีข้อข้องใจที่จะให้ผมอธิบายเพิ่มเติมครับ” ศ.นพ.ประกิต กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (29 ต.ค.) ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้ทำจดหมายเปิดผนึกส่งถึง ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และ ศ.นพ.อภิวัฒน์ มุทิรางกูร คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรณีกล่าวหาผู้รับทุนโครงการ สสส. มีผลประโยชน์ทับซ้อน ว่า ตนได้อ่านคำให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการที่มีการพูดว่า สสส. ให้ทุนแต่คนหน้าเดิม กลุ่มเดิม ไม่รู้กรณีอื่น ๆ แต่ขอเล่าประสบการณ์ตรง กรณีการทำงานรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ที่ทำมา 30 ปี โดยช่วงปี 2529 - 2547 มีคนที่ทำงานรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ในประเทศไทยน้อยทั้งกระทรวงสาธารณสุข และภาคเอกชน ซึ่งมีไม่ถึง 10 คน พยายามเชิญชวนหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่มีใครมาร่วม จนปี 2548 สสส. เริ่มให้ทุนเครือข่ายต่าง ๆ เข้ามาร่วมทำโครงการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ แต่การเชิญชวนคนมาทำนั้นหายาก พยายามที่จะหาคนรับทุนเพื่อทำโครงการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ในระดับภูมิภาค โดยมูลนิธิจะเป็นพี่เลี้ยงด้านข้อมูลวิชาการ และ สสส. พร้อมที่จะให้ทุนถึงองค์กรในพื้นที่ที่จะรับทุนโดยตรง
เหตุผลสรุปในการที่มีคนหน้าใหม่มาทำงานเรื่องยาสูบน้อย เพราะ 1. เป็นงานลักษณะใหม่ที่คนจะทำต้องเรียนรู้ว่าจะทำอะไรและทำอย่างไร ไม่ใช่งานลักษณะสงเคราะห์ 2. เป็นงานโครงการ 1 ปี 2 ปี อย่างเก่ง 3 ปี แล้วไม่รู้ว่าจะยั่งยืนหรือไม่ 3. เป็นงานที่ต้องไปทำกับคนอื่น หลาย ๆ ครั้งต้องไปง้อคนอื่น หรือขัดแย้งกับคนอื่น 4. เป็นงานที่ต้องเขียนโครงการเสนอผ่านการกลั่นกรองหลายขั้นตอน 5. การติดตามตรวจสอบเอกสารหลักฐานการใช้เงินละเอียดยิบยุ่งยาก น่ารำคาญ 6. ค่าตอบแทนต่ำ ยากที่จะหาคนมาร่วมทีม ทำอย่างอื่นสบายกว่าได้ค่าตอบแทนมากกว่า
นพ.ประกิต กล่าวว่า นอกจากนี้ ขอให้ความเป็นธรรมกับ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ที่ถูกกล่าวหาว่าตั้งมูลนิธิฯ แล้วไปขอทุน สสส. ด้วย การตั้งมูลนิธิขึ้น เพื่อทำโครงการที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวม กรณีนี้ไม่ได้ประโยชน์ส่วนตัวในฐานะประธานมูลนิธิที่ตั้งขึ้น นอกเหนือจากเบี้ยประชุม
“เชื่อว่า อาจารย์ทั้งสองท่าน มีความหวังดีต่อส่วนรวม ต้องการติเพื่อก่อให้ สสส. ปรับปรุงระบบงานให้สังคมหายคลายแคลงใจ แต่อยากจะขอให้ศึกษาข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อที่จะได้ให้ข้อเสนอแนะที่ถูกต้องมีประโยชน์ และเพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่ทำงานกับ สสส.ด้วย แน่นอนใครที่ทำงานกับ สสส.หากมีการทำผิดก็ต้องได้รับโทษ ซึ่งอาจารย์อานนท์เองก็ย้ำเองถึงกฎแห่งกรรม จึงชี้แจงอาจารย์เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะไม่อยากให้คนที่มีความตั้งใจดี ไม่กล้าที่จะมาทำงานกับ สสส. เพราะกลัวเปลืองตัว และยินดีหากอาจารย์มีข้อข้องใจที่จะให้ผมอธิบายเพิ่มเติมครับ” ศ.นพ.ประกิต กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่