ผู้ป่วยฟ้องร้อง รพ.เอกชนชื่อดัง ตรวจเลือดผิด ผลแล็บชี้ติดเชื้อ “เอชไอวี” ทนรักษานานกว่า 4 ปี ผลสุดท้ายกลับไม่ใช่ แฉแพทย์อ้างร่างกายผู้ป่วยล้างเชื้อเอชไอวีได้ ด้าน “ปรียนันท์” เผยอยู่ระหว่างกระบวนการฟ้องร้อง ชี้ มี พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหาย ช่วยป้องกันฟ้องร้องได้
นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุถึงความผิดพลาดของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ทำการตรวจเลือดในห้องปฏิบัติการ แต่ตรวจผิดว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี จนนำไปสู่การฟ้องร้อง และเบื้องต้นศาลได้ตัดสินว่าแพทย์มีความผิด จนต้องจ่ายค่าเสียหาย แต่ปรากฏว่า รพ.เอกชน กลับไม่มีความผิดใด ๆ
ทั้งนี้ นางปรียนันท์ กล่าวว่า เรื่องนี้สืบเนื่องจากมีผู้ป่วยมาร้องเรียนว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตรวจเลือดผิด พบว่า เป็นเอชไอวี และรับประทานยาต้านไวรัสมาโดยตลอด จนมาทราบภายหลัง ว่า ไม่ใช่ ขณะที่แพทย์โรงพยาบาลนี้ กลับให้คำตอบว่า เป็นเพราะร่างกายผู้ป่วยล้างเชื้อเอชไอวีได้เอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย จึงนำไปสู่การฟ้องร้อง ส่วนการวินิจฉัยที่ออกมาว่าเป็นความผิดแพทย์นั้น มองว่า เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับผลแล็บที่ออกมา จึงถือเป็นความรับผิดชอบของโรงพยาบาลโดยตรงด้วย อย่างไรก็ตาม กรณีแพทย์นั้นเบื้องต้นได้หารือกับทางผู้เสียหายเห็นว่า ไม่ร้องต่อแพทยสภา เนื่องจากคงไม่มีประโยชน์
นางปรียนันท์ กล่าวอีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มาตรฐานการตรวจ มาตรฐานห้องแล็บเป็นอย่างไรกันแน่ ทั้งที่ผลแล็บเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะส่งผลต่อชีวิตของคนไข้ โดยเฉพาะเชื้อเอชไอวีที่รักษาไม่หาย เมื่อคนไข้รู้ผลย่อมเกิดความทุกข์และทรมานจิตใจ ไม่กล้าแม้แต่จะไปตรวจซ้ำที่อื่นเพราะอับอาย กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็น รพ.เอกชนชื่อดัง ก็ผิดพลาดได้ แต่เมื่อผิดพลาดแล้วกลับไม่มีความรับผิดชอบ ต้องให้ผู้เสียหายไปฟ้องศาลเอาเอง ซึ่งขณะนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว คงปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ซึ่งยังต้องสู้กันต่อไปในชั้นอุทธรณ์ และฎีกา ไม่รู้อีกกี่ปีจึงจะสิ้นสุด เฉพาะศาลชั้นต้นก็ 3 ปีกว่าแล้ว ทั้งนี้ หากมี พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายฯ เชื่อว่า กรณีนี้จะจบลงอย่างรวดเร็วภายใน 1 ปี และความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับโรงพยาบาลก็คงไม่ไปจบลงที่การฟ้องร้องแน่นอน แต่ขณะนี้ไม่มีจึงอยากวิงวอนถึง รมว.สาธารณสุขคนใหม่ ผลักดันนำร่าง พ.ร.บ. เข้า ครม. ในเร็ววัน เพื่อลดปัญหาการฟ้องร้อง
ด้านผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหาย กล่าวว่า รู้สึกเสียใจและเสียความรู้สึกกับระบบเช่นนี้ เนื่องจากไปตรวจเลือด และพบว่าติดเชื้อเอชไอวี และเข้าใจเช่นนี้มาเป็นเวลา 4 ปี โดยไม่กล้าไปตรวจซ้ำที่อื่น ซึ่งตอนนั้นเพิ่งเลิกกับสามี ซึ่งค่อนข้างเจ้าชู้เลยเข้าใจว่าอาจติดจากสามีหรือไม่ แต่พอช่วงหลัง ๆ สังเกตอาการตัวเองแล้วทำไมถึงสุขภาพยังดีอยู่ จนมาตรวจกับแพทย์อีกท่านที่โรงพยาบาลเดิม กลับพบว่า ไม่มีเชื้อเอชไอวี และได้รับคำตอบจากโรงพยาบาล ว่า ร่างกายตนเองสามารถทำลายเชื้อเอชไอวี หากเป็นเช่นนั้นจริง ทั่วโลกคงมาเอาเลือดไปทำยาแล้ว ซึ่งรู้สึกว่าโรงพยาบาลปัดความรับผิดชอบมาก กรณีแบบนี้เป็นการละเมิดสิทธิอย่างมาก
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่