เปิดตัวโครงการเงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ส่ง อพม.-อสม. ค้นหาเด็กแรกเกิด หญิงท้อง ช่วงระหว่าง 1 ต.ค. 58 - 30 ก.ย. 59 ลงทะเบียนรับสิทธิที่ อปท. ทั่วประเทศ ระหว่าง 15 ก.ย. 58 - 31 มี.ค. 59 รับเงินอุดหนุนเดือนละ 400 บาท นาน 12 เดือน หวังช่วยพ่อแม่มีเงินจับจ่ายใช้ดูแลพัฒนาการเด็ก ด้าน สธ. จัดทีมหมอครอบครัวลงเยี่ยมบ้าน แนะนำอาหารส่งเสริมพัฒนาการ
วันนี้ (7 ก.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าว “โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด” ว่า โครงการดังกล่าวมุ่งเน้นให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ และมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย เติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพในอนาคต รวมทั้งเป็นหลักประกันให้เด็กได้รับสิทธิด้านการอยู่รอด และการพัฒนาตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กถือเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานในหลายประเทศทั่วโลกและเอเชีย เช่น จีน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เนื่องจากการที่เด็กจะได้รับโภชนาการที่ดี ได้ไปพบแพทย์ตามที่กำหนด หรือการมีหนังสือ หรือของเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีค่าใช้จ่าย หากพ่อแม่ของเด็กมีฐานะยากจน ก็ไม่สามารถดูแลเด็กอย่างเหมาะสมได้ สูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพของเด็ก หากได้รับเงินดังกล่าวถือเป็นการประกันว่าเด็กทุกคนจะมีโอกาสที่ได้รับสิ่งเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มโครงการเฉพาะเช่นนี้ และจากการสำรวจพัฒนาการเด็กหลายปีที่ผ่านมา พบว่า น่าเป็นห่วง เพราะพัฒนาการด้อยลง รัฐบาลจึงได้เริ่มโครงการดังกล่าว หลัง ครม. มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2558 โดยให้เงินอุดหนุนแก่เด็กแรกเกิดที่อยู่นอกระบบประกันสังคม ซึ่งเกิดระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2558 - 30 ก.ย. 2559 บิดาและมารดาหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสัญชาติไทย และอยู่ในครัวเรือนยากจนและครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน ซึ่งจะได้รับเงิน คนละ 400 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 12 เดือน
พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของ พม. กระทรวงหมาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีคณะอนุกรรมการประสานและส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัย ภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) เป็นผู้ดำเนินการ โดยอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) อาสาสมัครอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โรงพยาบาล และภาคีเครือข่าย จะค้นหากลุ่มเป้าหมายที่มีคุณสมบัติ คือ เด็กแรกเกิดและหญิงตั้งครรภ์ เพื่อเชิญชวนเข้าร่วมโครงการหรือแนะนำให้ไปฝากครรภ์เพื่อเข้าร่วมโครงการ โดยสามารถลงทะเบียนได้ที่ อปท. ทั่วประเทศ ประกอบด้วย สำนักงานเขตใน กทม. เมืองพัทยา เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ระหว่างวันที่ 15 ก.ย. 2558 - 31 มี.ค. 2559 ส่วนกรณีลงทะเบียนไม่ได้ทัน จะขยายระยะเวลาลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. - 30 ก.ย. 2559 โดยผู้ประสงค์เข้าร่วมโครงการสามารถยื่นเอกสารลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิได้ที่กรมกิจการเด็กและเยาวชน หรือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด สำหรับการรับเงิน รับได้ด้วยตัวเองที่กรมกิจการเด็ก และ พมจ. ทุกแห่งหรือผ่านบญชีธนาคาร
ด้าน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ. กล่าวว่า ได้ให้ อสม. กว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ ร่วมกับทีมหมอครอบครัว และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ค้นหาและแนะนำหญิงตั้งครรภ์ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ได้รับเงินอุดหนุนตามโครงการ ไปรับการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านและลงทะเบียนขอรับสิทธิ ซึ่ง อสม. จะเป็นผู้ร่วมรับรองสิทธิคนที่ 1 ในแบบรับรองสถานะของครัวเรือน ก่อนส่งให้ อปท. รับรอง เพื่อส่งรายชื่อผู้มีสิทธิให้ พมจ. ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ สธ. จะส่งทีมหมอครอบครัวประมาณ 70,000 ทีม และ อสม. ลงเยี่ยมบ้านหญิงหลังคลอดที่อยู่ในโครงการ เพื่อให้คำแนะนำด้านโภชนาการ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน และตรวจพัฒนาการเด็กอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้เป็นมาตรการจูงใจให้พ่อแม่พาเด็กไปรับบริการสุขภาพ จะช่วยให้เด็กได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ทั้งการตรวจสุขภาพ การฉีดวัคซีนป้องกันโรค และติดตามพัฒนาการ จึงขอเชิญชวนให้หญิงตั้งครรภ์รับไปฝากครรภ์ทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์ และพาบุตรไปรับการตรวจตามนัดที่โรงพยาบาลตามนัดทุกครั้ง
“การพัฒนาสุขภาพแม่และเด็กเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการพัฒนาคนให้สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยจัดโครงการฝากครรภ์ได้ทุกที่ ฟรีทุกสิทธิ รณรงค์ให้หญิงตั้งครรภ์ที่มีปีละประมาณ 8 แสนคน ฝากครรภ์ทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์หรือก่อนอายุครรภ์ 3 เดือน และฝากครบ 5 ครั้งตามนัด เพื่อให้แม่และเด็กได้รับการดูแลครบถ้วน ทั้งสารอาหารที่จำเป็น รวมทั้งรณรงค์ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือน หลังจากนั้น จึงให้กินนมแม่ร่วมกับอาหารอื่นจนถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น ตามคำแนะนำองค์การอนามัยโลก เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารของลูกที่ดีที่สุด มีสารอาหารกว่า 200 ชนิด มีภูมิต้านทานจากแม่ ช่วยร่างกายเติบโต พัฒนาสมอง จอประสาทตา เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายครัวเรือนในการซื้อนมผงเดือนละ 3,000 บาท การโอบกอดของแม่ขณะให้ลูกกินนม ทำให้เกิดความรักความผูกพัน โดยผลวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันว่าเด็กที่กินนมแม่จะมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กิน 5 - 11 จุด” ปลัด สธ. กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่