xs
xsm
sm
md
lg

ท้วงร่าง พ.ร.บ.ตั้งสภาประกันสุขภาพฯ ลดทอนอำนาจนายกฯ ไม่ยกเลิกดึงงบ 3 กองทุนบริหาร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นักกฎหมายท้วง ร่าง พ.ร.บ. ตั้งสภาประกันสุขภาพฯ ลดทอนอำนาจนายกฯ เผยเล่ห์ดึงงบ 0.5% จาก 3 กองทุนมาบริหาร ไม่เขียนตรง ๆ ในกฎหมาย แต่ใช้หลักโอนอำนาจหน้าที่ก็จะได้งบประมาณด้วย “อัมมาร” ลั่นเดินหน้าออกกฎหมายให้ได้

วันนี้ (28 ก.ค.) นายสุกฤษฎิ์ กิติศรีวรพันธุ์ ที่ปรึกษาสำนักกฎหมายการแพทย์ กรมการแพทย์ กล่าวถึง กรณีการยกร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่ เพื่อตั้งสภาประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมการบริหาร 3 กองทุนสุขภาพภาครัฐ ว่า โดยหลักการไม่ควรมีการรวม 3 กองทุน เพราะที่มาที่ไปแตกต่างกัน และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องความเหลื่อมล้ำตามที่มีการกล่าวอ้าง เพราะการแก้ไขความเหลื่อมล้ำสามารถทำได้โดยอำนาจของแต่ละกองทุนผ่านการบริหารจัดการที่ดี ทั้งนี้ จากการศึกษาตัวร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ พบว่า ค่อนข้างแปลกประหลาด เพราะในส่วนของคณะกรรมการที่ระบุให้มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีรมว.คลัง รมว.แรงงาน และ รมว.สาธารณสุข และ ผอ.สำนักงบประมาณแผ่นดิน เป็นกรรมการนั้น ซึ่งถือเป็นองค์กรกลุ่ม แต่ในกฎหมายกลับห้ามทั้งหมดนี้ลงมติในเรื่องต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องแปลกมาก ทั้งที่นายกฯ ถือเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน แล้วตามหลักคือ กฎหมายใหม่จะออกมาเพื่อยกเลิกกฎหมายเดิม ดังนั้น กฎหมายใหม่ที่ออกมาเป็นการยกเลิกการใช้อำนาจของนายกฯ หรือไม่ นอกจากนี้ ยังไม่มีสัดส่วนของแพทยสภา หรือราชวิทยาลัยต่าง ๆ เท่ากับว่า ไม่สามารถออกความเห็นทางด้านวิชาการได้เลย

นายสุกฤษฎิ์ กล่าวว่า ส่วนที่มีการให้ข่าวว่ามีการตัดถ้อยคำเรื่องการดึง 0.5% จากงบประมาณด้านสุขภาพของทั้ง 3 กองทุน เพื่อมาบริหารงานออกไปแล้วนั้น หากดูในมาตรา 38 บทเฉพาะกาล ของ ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว เขียนเอาไว้ว่า ให้โอนอำนาจหน้าที่ของกรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม (สปส.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในส่วนของการรักษาพยาบาลแล้วแต่กรณีมาขึ้นกับสำนักงานนับตั้งแต่วันที่ พ.ร.บ. บังคับใช้ ซึ่งการเอาอำนาจมางบประมาณก็ตามมาด้วยอยู่แล้ว ตามทฤษฎีนโยบายสาธารณะคน เงิน สิ่งของ และอำนาจ เป็นการเขียนข้อความเบี่ยงประเด็น

“ขอให้ย้อนกลับไปดู พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ออกก่อน พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ประมาณเดือนกว่า ๆ อันนั้นถือว่ามีประสิทธิภาพมาก เพราะไม่ได้พูดถึงเรื่องการรักษาพยาบาลอย่างเดียว แต่พูดถึงเรื่องการป้องกันโรค การฟื้นฟู แต่ทุกวันนี้เงินส่วนใหญ่ งบสำหรับการรักษาพยาบาลแต่ไปอยู่ในกองทุนกองทุนบัตรทอง ซึ่งไม่ใช่สายบังคับบัญชาของสาธารณสุข โดย รมว.สธ. และปลัด สธ. มีคนละ 1 เสียง แต่ถ้าเป็น สธ. นั้น รมว.สธ. จะเป็นผู้บัญชาการสูงสุด กำหนดนโยบายได้ รัฐบาลสามารถแตะเบรกได้ คุยได้ แต่ถ้าสร้างสภาประกันสุขภาพขึ้นมาสายสัมพันธ์ที่แต่ละส่วนมีต่อกันหายไป การเขียนกฎหมายแบบนี้ เป็นการทอนอำนาจนายกฯ ไม่สามารถกำกับ ตรวจสอบได้เลย” นายสุกฤษฎิ์ กล่าว

ด้าน ศ.อัมมาร สยามวาลา ประธานคณะทำงานประสาน 3 กองทุนสุขภาพ กล่าวว่า ยืนยันว่า จะต้องผลักดันเรื่องนี้ให้ได้ เพราะถ้าอ่านกฎหมายดี ๆ นี่ไม่ใช่การรวมกองทุน แต่สภาประกันสุขภาพจะเป็นร่วมกันทำงาน โดยมีฐานะเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ให้กองทุนใดกองทุนหนึ่ง หรือคนนอกมาสั่งการ ส่วนกรณีที่ไม่ได้ให้อำนาจนายกฯ รมว.คลัง รมว.แรงงาน และ รมว.สาธารณสุข และ ผอ.สำนักงบประมาณแผ่นดิน ในฐานะที่เป็นกรรมการในการพิจารณาลงมติต่าง ๆ เพราะสุดท้ายนายกฯ ก็ยังเป็นผู้เคาะอันดับสุดท้ายในชั้นคณะรัฐมนตรีอยู่ดี และนโยบาย หรือเรื่องต่าง ๆ นั้น คณะกรรมการได้มีการกลั่นกรองข้อมูล ผลดี ผลเสียอย่างรอบคอบไปเสนอแล้ว

“คนที่ผลักดันเรื่องนี้มาก คือ สปสช. แต่ก็มีหลายเรื่องที่ สปสช. คัดค้าน และมีอีก 2 กองทุนเข้าร่วมเหมือนกัน ผมเข้าใจดีว่ามีเสียงคัดค้านการตั้งสภาประกันสุขภาพแห่งชาติเยอะ ผมเข้าใจ แต่ก็คงต้องผลักดันให้ออกมาผ่านทางช่องทางปกติ ไม่ใช้ช่องทางพิเศษอะไร เพราะเห็นว่านี่เป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว และยินดีที่จะต่อสู่อย่างเปิดเผย คนนั้นค้าน คนนี้ค้าน แต่ผมทำดีที่สุดแล้วให้มีเสียงของทุกฝ่าย” นายอัมมาร กล่าว และว่า ส่วนตัวร่าง พ.ร.บ. ตอนนี้ยังไม่มีชื่อเรียก เพราะยังไม่คลอดออกจากคณะกรรมการ

ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่


กำลังโหลดความคิดเห็น