เอ็นจีโอ และภาควิชาการ ผนึกกำลัง จัดเวทีเสวนา “ทบทวน 10 ปี นโยบายการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย และก้าวต่อไปสู่การศึกษาเพื่อปวงชน” เปิดสถิติ เด็กไร้สัญชาติกว่าล้านคนในไทย ยังเข้าไม่ถึงระบบการศึกษา ระบุ นโยบายชัดแต่ปฏิบัติยังขัดข้อง ชี้หากทำได้ตามนโยบายจะป้องกันปัญหาการใช้แรงงานเด็กและค้ามนุษย์ได้
วันนี้ (7 ก.ค.) ที่โรงแรมแมนดาริน กทม. นายอิชิโระ มิยาซาวา ตัวแทนองค์กรยูเนสโก กล่าวในการประชุมเสวนา “ทบทวน 10 ปี นโยบายการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยและก้าวต่อไปสู่การศึกษาเพื่อปวงชน” ว่า จากการสำรวจเด็กไร้สัญชาติของไทย พบว่า มีมากสุดในภูมิภาคอาเซียนที่ยังไม่เข้าสู่ระบบการศึกษา โดยสถิติเด็กข้ามชาติที่อยู่ในไทยมีมากถึง 3 ล้านคน โดยเด็กที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ เด็กพม่าที่เกิดในไทย และเด็กที่ย้ายตามครอบครัวมาเพื่อประกอบอาชีพ โดยพบตัวเลขมากกว่า 1 ล้านคน ที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา ซึ่งสถิติดังกล่าวจะนำมาสู่ปัญหาระยะยาว โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ GDP มวลรวมของประเทศ และปัญหาทางด้านสังคมในอีก 20 ปีข้างหน้า และการเปิดเสรีอาเซียนก็จะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีเพิ่มมากขึ้น ยิ่งจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กตามมามากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องร่วมกันหาทางออก โดยเฉพาะการจัดการเรื่องการศึกษาให้เป็นระบบที่เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษาร่วมกันได้
ด้าน นายพะโยม ชิณวงศ์ ผอ.สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า ปัจจุบันได้มีมติคณะรัฐมนตรีและร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานวันเดือนปีเกิดในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา โดยระบุให้บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติสามารถเข้ามาเรียนได้โดยผ่านโรงเรียนเครือข่าย และผ่านการศึกษาตามอัธยาศัยหรือการศึกษานอกระบบ โดยเฉพาะตามแนวชายแดน ซึ่งต่อไปนี้หลักสูตรในการดำเนินการเรื่องการเรียนการสอนต้องมีการปรับเปลี่ยนโดยเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ทั้งในส่วนของเด็กที่ด้อยโอกาส เด็กที่พิการโดยทำหลักสูตรให้มีความหลากหลาย เพราะที่ผ่านมาเรามีการประเมินความสามารถของเด็กผ่านระบบโอเน็ตเอเน็ตเป็นตัววัดประสิทธิภาพ ซึ่งระบบการวัดประสิทธิภาพแบบนี้ถือว่าไม่ถูกทาง ซึ่งทุกวันนี้การศึกษาของเรายังไม่ตอบสนองและสอดคล้องกับสถานประกอบการ ขณะที่ผู้ใช้ทรัพยากรบุคคลควรจัดกลุ่มเป้าหมายในการใช้ทรัพยากรบุคคลให้ชัดเจน ผ่านการวางแผนที่ดี ที่เด็กทุกคนต้องได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกเชื้อชาติและสัญชาติ
นายแพทริค เครินส์ ผู้อำนวยการองค์กร World education กล่าวว่า จากการลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กไร้สัญชาติที่เข้าไม่ถึงระบบการศึกษาในประเทศไทย พบว่า มีกว่า 4 แสนคน อายุระหว่าง 5 - 15 ปี ที่อาศัยอยู่ในไทย และกว่า 90% เป็นเด็กที่มาจากพม่า โดยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่เกิดในไทยและติดตามพ่อแม่มาทำงาน ซึ่งที่ผ่านมาแม้เด็กเหล่านี้จะเข้าถึงระบบการศึกษาในไทยตามมติคณะรัฐมนตรี 5 ก.ค. 2548 เรื่องการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย ที่ทำการรองรับให้คนที่ไม่มีสัญชาติสามารถเข้าสู่ระบบการศึกษา แต่ก็เกิดปัญหาต่อการเข้าถึง เนื่องจากมีเด็กจำนวนมากที่ต้องหยุดเรียนกลางคัน โดยเฉพาะเด็กอายุระหว่าง 11 - 14 ปี ที่หยุดเรียนกลางคันเพื่อไปทำงานและดูแลครอบครัว ซึ่งแม้จะมีการเปิดโอกาสให้เด็กกลับมาเรียนหนังสือใหม่ แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะเด็กส่วนใหญ่ที่ออกไปแล้วจะไม่ได้กลับเข้ามาสู่ระบบการศึกษาอีกเลย จึงเป็นปัญหาที่ต้องคิดว่าต่อไปนี้เราจะทำอย่างไรให้เด็กเหล่านี้อยู่ในระบบของโรงเรียนจนจบกระบวนการศึกษาจนได้วุฒิบัตรเพื่อนำไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้
นายแพทริค กล่าวว่า ปัญหาที่สำคัญแม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายรองรับที่ชัดเจนเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กไร้สัญชาติไดเข้าถึงการศึกษาซึ่งถือเป็นการเปิดกว้างแต่ก็ยังคงมีปัญหาในเรื่องของการไม่มีระบบติดตามการดำเนินงาน จนทำให้หลายคนต้องพลาดโอกาสทางการศึกษาไป นอกจากนี้ การให้เด็กได้มีโอกาสได้เรียนภาษาแม่ก็จะเป็นประโยชน์กับเด็กเมื่อต้องกลับไปประเทศต้นทาง
“การที่รัฐบาลไทยจะต้องเข้ามาช่วยดูแลเด็กๆ เหล่านี้นั้น เป็นเพราะกฎหมายที่ประเทศไทยได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนในเรื่องการศึกษาเพื่อคนทั้งมวล หรือ Education for all นอกจากนี้ ไทยยังเป็นผู้นำในประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพในการที่จะช่วยเหลือประเทศเหล่านี้ทั้งในเรื่องนวัตกรรม และในเรื่องทรัพยากร และที่สำคัญ ไทยถือได้ว่าเป็นประเทศศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนที่มีตลาดแรงงานขนาดใหญ่ จึงทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ดังนั้น หากเราจัดการศึกษาที่เหมาะสมให้กับเด็กไร้สัญชาติจะทำให้เด็ก ๆ เหล่านี้สามารถพึ่งพิงตนเองและไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ หรือต้องตกเป็นเหยื่อของการใช้แรงงานเด็ก นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าเด็ก ๆ จำนวนมากจะติดตามพ่อแม่ที่เข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายแต่ก็ไม่ได้ความว่าเด็ก ๆ จะใช้เหตุผลนี้ในการการกีดกันเด็กไม่ให้เข้าถึงระบบการศึกษาที่จะเป็นประโยชน์กับเด็กในอนาคตเด็กได้” นายแพทริค กล่าว
ด้าน น.ส.โรยทราย วงศ์สุบรรณ ตัวแทนเครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) กล่าวว่า ที่ผ่านมา เราเห็นปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กย้ายถิ่นว่าไม่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศต้นทางได้ ดังนั้น ระบบการศึกษาไทยต้องส่งเสริมให้เด็กไปศึกษายังประเทศต้นทางได้ด้วย โดยมีข้อเสนอดังนี้ 1. เรื่องการวัดระดับความรู้ ที่ต้องมีแนวทางร่วมกัน ว่า ในแต่ละระดับชั้นที่เด็กเรียนจบ จะมีระบบการวัดความรู้อย่างไร ที่เด็กไม่ต้องไปเริ่มเรียนใหม่ 2. อยากให้มีข้อตกลงร่วมกันว่าเราจะรองรับกรอบการศึกษาร่วมกันได้อย่างไร โดยกระทรวงศึกษาธิการ ต้องดำเนินการเชิงลึก ว่า จะประสานประเทศต้นทางเกี่ยวกับการศึกษาเด็กอย่างไร โดยต้องประชุมกันในหลายระกับ ไม่ว่าจะเป็นระดับรัฐมนตรี อธิบดี หรือ เลขาธิการ ที่จะเข้าใจนโยบาย แล้วนำไปปฏิบัติได้ โดยการพูดคุย จะต้องเป็นกลไก ปฏิบัติที่ชัดเจน ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ต้องมีข้อมูลพื้นฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนของเด็กแต่ละประเทศ อยู่ในประเทศจำนวนเท่าไหร่ และประเทศไทยต้องเตรียมข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย เพื่อให้ประเทศต้นทางสามารถรับไปดำเนินการต่อได้ทันที
ด้าน นายฮุค เดเลนีย์ ตัวแทนจาก UNICEF ประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากการที่ตนได้ไปลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้พบว่ามีเด็กไร้สัญชาติใช้แรงงานที่ประเทศไทยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าแรงงานเด็กเหล่านี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยมาก และในอนาคตเราจะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานแบบเสรี การศึกษาของเด็กเหล่านี้จึงมีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งหน่วยงานเอกชน และบริษัทต่าง ๆ ที่ตนไปเยี่ยมดูงานก็ให้ความช่วยเหลือกับเด็กทั้งในเรื่องของการเงิน และการปฏิบัติการ จึงเป็นเรื่องที่ดีมาก ซึ่งหากเราสามารถเชื่อมโยงการทำงานรัฐและเอกชนได้ จะเป็นการดีกับเด็กและแรงงานในอนาคต ทั้งนี้ เรื่องการศึกษาของเด็กจะพูดถึงกระทรวงศึกษาธิการอย่างเดี่ยวไม่ได้ แต่ทุกหน่วยงานต้องมาช่วยกัน เพื่อนำไปสู่การเท่าเทียมกันเกี่ยวกับการศึกษา
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (7 ก.ค.) ที่โรงแรมแมนดาริน กทม. นายอิชิโระ มิยาซาวา ตัวแทนองค์กรยูเนสโก กล่าวในการประชุมเสวนา “ทบทวน 10 ปี นโยบายการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยและก้าวต่อไปสู่การศึกษาเพื่อปวงชน” ว่า จากการสำรวจเด็กไร้สัญชาติของไทย พบว่า มีมากสุดในภูมิภาคอาเซียนที่ยังไม่เข้าสู่ระบบการศึกษา โดยสถิติเด็กข้ามชาติที่อยู่ในไทยมีมากถึง 3 ล้านคน โดยเด็กที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ เด็กพม่าที่เกิดในไทย และเด็กที่ย้ายตามครอบครัวมาเพื่อประกอบอาชีพ โดยพบตัวเลขมากกว่า 1 ล้านคน ที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา ซึ่งสถิติดังกล่าวจะนำมาสู่ปัญหาระยะยาว โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ GDP มวลรวมของประเทศ และปัญหาทางด้านสังคมในอีก 20 ปีข้างหน้า และการเปิดเสรีอาเซียนก็จะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีเพิ่มมากขึ้น ยิ่งจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กตามมามากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องร่วมกันหาทางออก โดยเฉพาะการจัดการเรื่องการศึกษาให้เป็นระบบที่เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษาร่วมกันได้
ด้าน นายพะโยม ชิณวงศ์ ผอ.สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า ปัจจุบันได้มีมติคณะรัฐมนตรีและร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานวันเดือนปีเกิดในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา โดยระบุให้บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติสามารถเข้ามาเรียนได้โดยผ่านโรงเรียนเครือข่าย และผ่านการศึกษาตามอัธยาศัยหรือการศึกษานอกระบบ โดยเฉพาะตามแนวชายแดน ซึ่งต่อไปนี้หลักสูตรในการดำเนินการเรื่องการเรียนการสอนต้องมีการปรับเปลี่ยนโดยเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ทั้งในส่วนของเด็กที่ด้อยโอกาส เด็กที่พิการโดยทำหลักสูตรให้มีความหลากหลาย เพราะที่ผ่านมาเรามีการประเมินความสามารถของเด็กผ่านระบบโอเน็ตเอเน็ตเป็นตัววัดประสิทธิภาพ ซึ่งระบบการวัดประสิทธิภาพแบบนี้ถือว่าไม่ถูกทาง ซึ่งทุกวันนี้การศึกษาของเรายังไม่ตอบสนองและสอดคล้องกับสถานประกอบการ ขณะที่ผู้ใช้ทรัพยากรบุคคลควรจัดกลุ่มเป้าหมายในการใช้ทรัพยากรบุคคลให้ชัดเจน ผ่านการวางแผนที่ดี ที่เด็กทุกคนต้องได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกเชื้อชาติและสัญชาติ
นายแพทริค เครินส์ ผู้อำนวยการองค์กร World education กล่าวว่า จากการลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กไร้สัญชาติที่เข้าไม่ถึงระบบการศึกษาในประเทศไทย พบว่า มีกว่า 4 แสนคน อายุระหว่าง 5 - 15 ปี ที่อาศัยอยู่ในไทย และกว่า 90% เป็นเด็กที่มาจากพม่า โดยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่เกิดในไทยและติดตามพ่อแม่มาทำงาน ซึ่งที่ผ่านมาแม้เด็กเหล่านี้จะเข้าถึงระบบการศึกษาในไทยตามมติคณะรัฐมนตรี 5 ก.ค. 2548 เรื่องการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย ที่ทำการรองรับให้คนที่ไม่มีสัญชาติสามารถเข้าสู่ระบบการศึกษา แต่ก็เกิดปัญหาต่อการเข้าถึง เนื่องจากมีเด็กจำนวนมากที่ต้องหยุดเรียนกลางคัน โดยเฉพาะเด็กอายุระหว่าง 11 - 14 ปี ที่หยุดเรียนกลางคันเพื่อไปทำงานและดูแลครอบครัว ซึ่งแม้จะมีการเปิดโอกาสให้เด็กกลับมาเรียนหนังสือใหม่ แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะเด็กส่วนใหญ่ที่ออกไปแล้วจะไม่ได้กลับเข้ามาสู่ระบบการศึกษาอีกเลย จึงเป็นปัญหาที่ต้องคิดว่าต่อไปนี้เราจะทำอย่างไรให้เด็กเหล่านี้อยู่ในระบบของโรงเรียนจนจบกระบวนการศึกษาจนได้วุฒิบัตรเพื่อนำไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้
นายแพทริค กล่าวว่า ปัญหาที่สำคัญแม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายรองรับที่ชัดเจนเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กไร้สัญชาติไดเข้าถึงการศึกษาซึ่งถือเป็นการเปิดกว้างแต่ก็ยังคงมีปัญหาในเรื่องของการไม่มีระบบติดตามการดำเนินงาน จนทำให้หลายคนต้องพลาดโอกาสทางการศึกษาไป นอกจากนี้ การให้เด็กได้มีโอกาสได้เรียนภาษาแม่ก็จะเป็นประโยชน์กับเด็กเมื่อต้องกลับไปประเทศต้นทาง
“การที่รัฐบาลไทยจะต้องเข้ามาช่วยดูแลเด็กๆ เหล่านี้นั้น เป็นเพราะกฎหมายที่ประเทศไทยได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนในเรื่องการศึกษาเพื่อคนทั้งมวล หรือ Education for all นอกจากนี้ ไทยยังเป็นผู้นำในประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพในการที่จะช่วยเหลือประเทศเหล่านี้ทั้งในเรื่องนวัตกรรม และในเรื่องทรัพยากร และที่สำคัญ ไทยถือได้ว่าเป็นประเทศศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนที่มีตลาดแรงงานขนาดใหญ่ จึงทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ดังนั้น หากเราจัดการศึกษาที่เหมาะสมให้กับเด็กไร้สัญชาติจะทำให้เด็ก ๆ เหล่านี้สามารถพึ่งพิงตนเองและไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ หรือต้องตกเป็นเหยื่อของการใช้แรงงานเด็ก นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าเด็ก ๆ จำนวนมากจะติดตามพ่อแม่ที่เข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายแต่ก็ไม่ได้ความว่าเด็ก ๆ จะใช้เหตุผลนี้ในการการกีดกันเด็กไม่ให้เข้าถึงระบบการศึกษาที่จะเป็นประโยชน์กับเด็กในอนาคตเด็กได้” นายแพทริค กล่าว
ด้าน น.ส.โรยทราย วงศ์สุบรรณ ตัวแทนเครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) กล่าวว่า ที่ผ่านมา เราเห็นปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กย้ายถิ่นว่าไม่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศต้นทางได้ ดังนั้น ระบบการศึกษาไทยต้องส่งเสริมให้เด็กไปศึกษายังประเทศต้นทางได้ด้วย โดยมีข้อเสนอดังนี้ 1. เรื่องการวัดระดับความรู้ ที่ต้องมีแนวทางร่วมกัน ว่า ในแต่ละระดับชั้นที่เด็กเรียนจบ จะมีระบบการวัดความรู้อย่างไร ที่เด็กไม่ต้องไปเริ่มเรียนใหม่ 2. อยากให้มีข้อตกลงร่วมกันว่าเราจะรองรับกรอบการศึกษาร่วมกันได้อย่างไร โดยกระทรวงศึกษาธิการ ต้องดำเนินการเชิงลึก ว่า จะประสานประเทศต้นทางเกี่ยวกับการศึกษาเด็กอย่างไร โดยต้องประชุมกันในหลายระกับ ไม่ว่าจะเป็นระดับรัฐมนตรี อธิบดี หรือ เลขาธิการ ที่จะเข้าใจนโยบาย แล้วนำไปปฏิบัติได้ โดยการพูดคุย จะต้องเป็นกลไก ปฏิบัติที่ชัดเจน ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ต้องมีข้อมูลพื้นฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนของเด็กแต่ละประเทศ อยู่ในประเทศจำนวนเท่าไหร่ และประเทศไทยต้องเตรียมข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย เพื่อให้ประเทศต้นทางสามารถรับไปดำเนินการต่อได้ทันที
ด้าน นายฮุค เดเลนีย์ ตัวแทนจาก UNICEF ประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากการที่ตนได้ไปลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้พบว่ามีเด็กไร้สัญชาติใช้แรงงานที่ประเทศไทยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าแรงงานเด็กเหล่านี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยมาก และในอนาคตเราจะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานแบบเสรี การศึกษาของเด็กเหล่านี้จึงมีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งหน่วยงานเอกชน และบริษัทต่าง ๆ ที่ตนไปเยี่ยมดูงานก็ให้ความช่วยเหลือกับเด็กทั้งในเรื่องของการเงิน และการปฏิบัติการ จึงเป็นเรื่องที่ดีมาก ซึ่งหากเราสามารถเชื่อมโยงการทำงานรัฐและเอกชนได้ จะเป็นการดีกับเด็กและแรงงานในอนาคต ทั้งนี้ เรื่องการศึกษาของเด็กจะพูดถึงกระทรวงศึกษาธิการอย่างเดี่ยวไม่ได้ แต่ทุกหน่วยงานต้องมาช่วยกัน เพื่อนำไปสู่การเท่าเทียมกันเกี่ยวกับการศึกษา
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่