สพฉ. สรุปบทเรียนเหตุแผ่นดินไหวเนปาล รอบ 2 พบ ปชช.- จนท.รพ. แตกตื่นกระทบต่อการให้บริการรักษาพยาบาล ประสบปัญหาขาดระบบเตือนภัย เส้นทางการอพยพที่ทำให้การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยลำบาก ระบบสื่อสารล่มทั้งประเทศ และการขาดข้อมูลผู้ป่วย ระบุที่เนปาล ยังขาดเครื่องมือในการอพยพผู้ป่วย เต็นท์ และผ้าห่มสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
วันนี้ (14 พ.ค.) นพ.ภูมินทร์ ศิลาพันธ์ รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวถึงสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นอีกครั้งในประเทศเนปาลในเช้าวันอังคารที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ว่า สถานการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเนปาลยังมีความน่า กังวลเป็นอย่างยิ่งเพราะเหตุการณ์อาฟเตอร์ช็อกสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งเท่ากับว่าจำนวนของผู้ป่วยฉุกเฉินจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวก็จะเกิดเพิ่มขึ้นมากขึ้นอีก และมีรายงานตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหม่แล้ว ทั้งนี้ ในส่วนทีมแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยที่เข้าให้การช่วยเหลือด้านการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศเนปาลที่มีอยู่ในพื้นที่ 2 ชุด ก็ยังคงเสริมกำลังการทำงานกันอย่างเต็มที่ในสถานการณ์ที่ขับคันและยากลำบาก ทั้งนี้ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้จัดทีมประสานงานซึ่งประกอบไปด้วยแพทย์ พยาบาล และผู้เชี่ยวชาญทางด้านกู้ภัยทีได้ผ่านการฝึกอบรมจากต่างประเทศด้านการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินในภาวะภัยพิบัติ หรือที่เรียกว่า Disaster Medical Assistant Team (DMAT) เข้าประสานและช่วยเหลือในการทำงานของทีมแพทย์ฉุกเฉินของไทยด้วย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นรอบใหม่นั้นได้สร้างผลกระทบต่อโรงพยาบาล Manmohan Memorial Hospital ของประเทศเนปาลที่ โดยทีม DMAT ได้เตรียมประสานงานในการเข้าให้การช่วยเหลือเพิ่มเติมอยู่ โดยขณะเกิดเหตุทีมแพทย์ของโรงพยาบาลและทีม DMAT ได้ร่วมกันอพยพ เคลื่อนย้าย และปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ผู้ป่วยและจัดตั้งโรงพยาบาลสนามชั่วคราว ซึ่งมีผู้ป่วยในการดูแลของทีมแพทย์ฉุกเฉินไทยประมาณ 50 คน
รองเลขาธิการ สพฉ. กล่าวต่อว่า สพฉ. ได้ถอดบทเรียนของเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดเพื่อที่จะนำมาปรับใช้ในการทำงานในครั้งต่อไป โดยพบปัญหาอุปสรรคหลักๆ ดังนี้ 1. เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวนั้นเกิดความตื่นตระหนกทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลจึงทำให้การช่วยเหลือประชาชนที่เข้ามาทำการรักษาในโรงพยาบาลมีปัญหา 2. ทีมได้สังเกตเห็นว่าระบบการเตือนภัยของประเทศเนปาลนั้นมีปัญหา เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวไม่มีระบบเตือนภัยให้กับประชาชนและไม่มีสัญญาณแจ้งให้ประชาชนทำการอพยพ 3. ระบบสื่อสารต้องเป็นระบบที่เราจะต้องจัดเตรียมให้พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ เพราะเมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้นนั้นระบบการสื่อสารทุกอย่างในประเทศเนปาลล่มหมด และจะกลับมาใช้ได้หลังจากเกิดเหตุประมาณ 2 ชั่วโมง ขณะที่เส้นทางอพยพประชาชนนั้นต้องผ่านถนนซึ่งมีรถหนาแน่น จึงทำให้การเคลื่อนย้ายประชาชนและผู้ป่วยมีปัญหา ส่วนปัญหาที่สำคัญมากที่สุดคือ เรื่องของข้อมูลผู้ป่วย เพราะโรงพยาบาลที่ทีมแพทย์ฉุกเฉินของเราได้เข้าไปให้การช่วยเหลือนั้นไม่มีข้อมูลผู้ป่วยที่จะอพยพ ไม่ทราบจำนวนผู้ป่วยที่แท้จริง จึงทำให้ทีมที่เข้าสนับสนุนช่วยเหลือไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่น
นพ.ภูมินทร์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ขณะนี้สิ่งที่ประเทศเนปาลกำลังขาดและต้องการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในเรื่องของระบบการแพทย์ฉุกเฉินคือ ยา และอุปกรณ์ในการอพยพเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากโรงพยาบาลที่มีไม่เพียงพอ อาทิ รถนั่ง เปลหาม และในเรื่องที่อยู่อาศัยนั้นบ้านเรือนส่วนใหญ่ของประชาชนในประเทศเนปาลนั้นสร้างขึ้นจากอิฐและดินจึงทำให้ง่ายต่อถล่ม ทำให้ประชาชนจำนวนมากไร้ที่อยู่อาศัย การจัดหาเต็นท์นอน ผ้าห่ม และเสื้อผ้าจึงเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ประชาชนเนปาลต้องการ
สำหรับทีมช่วยเหลือทางการแพทย์ในภาวะภัยพิบัติ ที่ลงไปปฏิบัติหน้าที่ประสานงานช่วยทีมแพทย์ฉุกเฉินชุดที่สองของประเทศไทย ประกอบด้วย นายแพทย์ คณินทร์ กีรติพงค์ไพบูลย์ นางสาวสิริมา ใจปล้ำ นางหทัยรัตน์ รังสรรค์สฤษดิ์ นายไชยเชษฐ์ พัดสี นายอนุกูล สอนเอก นายรณยุทธ กุลพันธ์ และนายสมศักดิ์ บุญรัตนกิจ
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่